Fic 魔道祖师 Mo Dao Zu Shi : Secret Diary 6/??


Title : Fic 魔道祖师 Mo Dao Zu Shi

Type :  Dialogue Fiction

Date : 24/08/2562

Topic : Secret Diary  บันทึกของวั่งจี ถึงเว่ยอิง

Pair : หลานวั่งจี x เว่ยอู๋เซี่ยน
Chapter 6 : งานการของปรมาจารย์อี๋หลิง และจิตใจที่ว้าวุ่นของหานกวงจวิน


คำเตือน 
  • Fic เรื่องมีความเกี่ยวข้องกับความรักระหว่างเพศเดียวกัน หากมีทัศคติที่รับไม่ได้กรุณากดออก


คำชี้แจง

  • Fic เรื่องนี้ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของนิยาย/อนิเมะ/การ์ตูน/ซีรี่ย์ "ปรมาจารย์ลัทธิจารย์ Mo Dao Zu Shi 魔道祖师" ที่ "อาจารย์โม่เซียงถงซิ่ว" เป็นเจ้าของผลงาน เป็นเพียงเรื่องสมมติที่ผู้แต่งจินตนาการขึ้นมา โดยนำตัวละครและโครงเรื่องหลักมาใช้อ้างอิง ไม่ได้มีเจตนา คัดลอก / ดัดแปลง / ทำซ้ำ ผลงานลิขสิทธิ์แต่อย่างใด
  • ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน Fic เรื่องนี้กันนะคะ ถ้าชอบอย่าลืมช่วยกันคอมเม้นท์ โหวต แชร์ ถูกใจ หรือติดตามเป็นกำลังใจให้แก่คนเขียนนะคะ
  • หากมีผิดพลาดประการใด ไม่ถูกใจท่านผู้อ่าน ต้องกราบขออภัยล่วงหน้าค่ะ
  • รักนักอ่านทุกท่านคะ



============================
============================






Secret Diary  บันทึกของวั่งจี ถึงเว่ยอิง

บทที่ 6 : งานการของปรมาจารย์อี๋หลิง และจิตใจที่ว้าวุ่นของหานกวงจวิน



**คำเตือน**

ฟิคเรื่องนี้ ราด Filter คนหลงเมียขั้นสุด

กรุณาใช้จักรยานในการอ่าน...
อย่าเอาความจริงอะไรมาก
กับบันทึกลับคนเห่อเมีย 3018
ลงชื่อผู้ประพันธ์ (หลานวั่งจี )


“หลานจ้าน! ข้าจะวาดภาพอนาจารขาย”
ท่ามกลางฝูงชนคราคร่ำขวักไขว่
เสียงกังวานใสจากผู้ที่ครองชามบะหมี่ตรงข้าม ทำเอาข้าชะงักไปชั่วครู่
ข้าถือช้อนค้างเติ่ง ไม่ได้ส่งซุปเข้าปาก ด้วยความรู้สึกคล้ายละเมอ
เสมือนตกอยู่ในภวังค์อยู่หลายเค่อ แต่หากเป็นเวลาเพียงชั่วกระพริบตา
ข้ารีบเรียกสติที่โผบินให้กลับคืนมา พลางวางช้อนลงเกี่ยวปากชามเบา ๆ

หลายคำถามมากมายพรายผุด
และข้า...พยายามหยุดเหล่าคำตอบอิลุ่ยฉุยแฉกที่คิดเองเออเองในหัว
ก่อนจะค่อย ๆ ขยับนัยน์ตาผละจากชามอาหาร แล้วเหลือบขึ้นมองดู
จ้องคนตรงหน้าที่สูดเส้นบะหมี่ก้อนใหญ่เข้าปากเสียงดัง

ขณะปากข้ากำลังจะขยับเพื่อถามไถ่
เจ้าตัวดีดุนอาหารซุกแก้มไว้ ให้ปากและลิ้นว่าง
แล้วชิงกล่าววาจา ที่ข้าไม่คิดหวังจะได้ยิน
“ข้าคิดว่าน่าจะทำเงินได้หลายอีแปะอยู่เหมือนกัน”

แรกเริ่มหวังดำรงเพียงรัก ยาวนานไปถึงประจักษ์ว่าปากท้องสำคัญเพียงไหน
คำกล่าวนี้ นอกจากจะเป็นที่กล่าวขานในเหล่าปุถุชนคนทั่วไป
ท่านอาหลานฉี่เหรินของข้าก็เคยกล่าวไว้ให้จดจำ
ข้าเองก็ไม่คิดเก็บมาใส่ใจอะไรให้มากความ
จนกระทั่งเมื่อครู่ อยู่ดี ๆ มันก็ผุดขึ้นมาให้ใส่ใจ

“เว่ยอิง... เงินที่ข้าให้ไม่พอใช้หรือ”
คำถามเบาหวิวของคนที่อยู่ตรงข้าม
ทำให้เอารอยยิ้มงามถูกวาดขึ้นบนปากมันแผล็บเพราะซุปบะหมี่โดยฉับพลัน
เว่ยอิงจ้องหน้านิ่งนัยน์ตาซื่อของผู้ที่อยู่ตรงหน้าอย่างนึกขัน
ก่อนจะตวัดยกแขวนเสื้อปิดปาก พลางกลั้วหัวเราะในลำคอ
ฝืนกลืนบะหมี่ในปากลงคอ ต้านทานกับระลอกหัวเราะอย่างทรมาน

...ให้ตายเถอะ...พ่อกระต่ายซื่อบื้อวั่งจี...

หลังกลืนบะหมี่หมดปาก พลางขบขันจนพอใจ
มือเรียวของผู้ถูกถามไถ่ก็วางตะเกียบพาดปากชาม
แล้วเริ่มแถลงไข ความเป็นมาของคำพูดประหลาดให้ข้าได้ฟัง

..........................

ฤดูกาลจวนเจียนเปลี่ยนผ่านบรรจบครบแล้วหนึ่งรอบ
วิถีนอกชายคาอวิ๋นเซิน ข้าก็ชินชามากกว่าเดิมเป็นไหน ๆ
ข้าและเว่ยอิง เราสองแยกออกมาจากกูซูหลาน แล้วได้ซื้อบ้านหลังหนึ่งไว้
เรือนเล็ก ๆ แถวสุสานรกร้างห่างไกลผู้คน

พวกเราซื้อมันมาด้วยราคาถูก
ทายาทของสัปเหร่อที่เคยประจำอยู่ที่นั่นเป็นผู้ขายให้
เมื่อบิดาผู้ประกอบอาชีพไม่น่าเชิดชูได้ตายจากไป
ความทะยานอยาก หวังหลุดพ้นวงเวียนจัดการคนตาย ก็เชิดฉายลุกโชน

บุตรชายสัปเหร่อรู้สึกเดียดฉันท์วันวานของตนในบ้านหลังนั้นนัก
ประสงค์จะกำจัด ให้แล้วเสร็จ ก่อนก่อร่างสร้างตัวใหม่
เปลี่ยนสถานภาพจากคนทำศพเฝ้าสุสาน สู่เสมียนโรงสุรากลั่นในเมืองถัดไป
ตามคำแนะนำของสหายผู้เคยร่วมเรียนเขียนอ่านชักชวน
แต่จิตใจที่ผูกพันธ์ผันผวน ไม่อาจหักหาญกำจัดโดยการเผาบ้านทิ้งได้ลง
แม้รังเกียจ แต่ก็ยังคงเป็นหลักฐานโยงใยระหว่างตนกับบิดา

...ด้วยเหตุนี้ จึงคิดประกาศขายเปลี่ยนเจ้าของเสีย ให้พ้นมือตัว...
...อย่างน้อยก็ได้เงินสักถุงติดตัว ยามเดินทางเปลี่ยนเมือง...

ด้านเว่ยอิงกับข้าที่กำลังมองหาที่พำนักใหม่
ด้วยชีวิตเราสอง ล่อตาล่อใจคนสามัญมากเกินไป จนเป็นปัญหา

ประการแรก เราต่างเป็นบุรุษ (ไม่) โสด หามีสตรีเคียงกายไม่
จะในฐานะข้ารับใช้ มารดา หรือญาติผู้ใหญ่ ก็ไม่มีทั้งสิ้น
แสนน่ารำคาญ ยามเจอแม่สื่อแม่ชักมาเพ่งเล็ง ทาบทามข้าหรือเว่ยอิง
แม้เจ้าตัวดีชอบกล่าวว่า “คิดเป็นเรื่องขำขันเสียสิ” แต่สำหรับข้า...มัน-สุด-จะ-ทน

...ยอมรับในฐานะคนที่ยังไม่หลุดพ้นจากกิเลส...ข้าหึงเว่ยอิง...

ประการสอง เราต่างข้องแวะกับภูตผีปีศาจ
ผจญมาร ปราบเรื่องพิศวง สาละวนในสิ่งที่ผู้คนไม่ค่อยยุ่งเกี่ยว
ไหนจะศึกษาและลองใช้วิชาเวทย์ คล้ายเซียน
เรื่องพวกนี้ ย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยง สายตาของคนทั่วไป
หามาไหว้วานให้จัดการเรื่องเหล่านี้ เราทั้งคู่ย่อมเต็มใจ
แต่หากมากราบไว้บูชา หรือกล่าวนินทาร้องขอเชิงคุณไสย ก็ออกจะกระอักกระอ่วนใจเกินทน

ประการสุดท้าย....
ในเมื่อหว่านเมล็ดย่อมหวังดอกผล
หากปักหลักอาศัยในพื้นที่ชุมชนเต็มไปด้วยผู้คน
มีหรือข้าจะพลอดรักกับเว่ยอิงได้อย่างสบายใจ

ไม่สิ...ไม่ใช่... ตัวข้าน่ะ ไม่เคยคิดสนสายตาผู้ใด
แต่เจ้าตัวดีชอบทำเฉไฉ มีลูกล้อต่อชนให้กลายเป็นเรื่องสนุกทุกครา
จำต้องออกแรงเหนื่อย ลากพาไปทีลับตาคน
ถึงจะยอมสนใจความการของข้าอย่างจริงจังเสียที

เอาเถอะ ถึงจะเป็นที่ท้ายสุสาน เต็มไปด้วยสายตาผี
อย่างไรเสีย ข้าก็เคยชินกับการที่ขุนพลผีเวินหนิงล้อมหน้าล้อมหลังให้วุ่นวาย

...คนตายไปแล้ว จะต้องไปสนใจอะไรให้มากความ...
...อุตส่าห์ผละจากกฎสี่พันข้อของสกุลหลานได้แล้ว ข้าจะทำตามใจไม่ได้หรือไร...

หึ-หึ๊ม!!
// เสียงกระแอ้มนะจ๊ะ //

ดังนั้นเราจึงเลือกบ้านหลังนั้นอยู่ร่วมกัน
แต่เรื่องราวหลังจากนั้น ไม่ง่ายดังใจนึก...

“รบกวนวานพวกท่านช่วยนำความเจตจำนงของข้าไปแจ้งแก่ลูกชายที”
แค่ค่ำคืนแรกที่ย้ายเข้าไปอยู่
วิญญาณสัปเหร่อผู้จากไปในบ้านหลังนั้นก็ปรากฏ
ตีหน้าเศร้าเล่าความกะทันหัน ขณะที่ข้ากับเว่ยอิงกำลังจะล้มตัวนอนลง

...ข้าล่ะ... อยากดีดกู่ฉินให้สลายไปต่อหน้าต่อตาเสียจริง...

หึ-หึ๊ม!

อย่างไรเสีย ไม่ว่าจะคนเป็นหรือคนตาย
ผู้ฝึกวิชาเซียนย่อมมีหน้าที่ช่วยเหลือให้พ้นจากความทุกข์ร้อนเหมือนกัน

สัปเหร่อ...เคยเป็นถึงนายอำเภอเรืองศักดิ์
ดำรงหน้าที่อย่างซื้อสัตย์ น่าเลื่อมใส
แต่ด้วยความซื่อตรง ไม่คดงอกลับเป็นภัย
ขัดแย้งกับกังฉิน* อำนาจบาตรใหญ่ ยากเกินต่อกร
จึงได้ต้องถอดยศถอนตัวออกจากสมรภูมิแก่งแย่งอำนาจ เพื่อรักษาชีวิตตน

นำเงินก้อนเก็บใหญ่ กว้านซื้อที่ดินกว้างห่างไกลผู้คน
หวังทำไร่สวนปลูกผักประทังตน กินอยู่กับครอบครัวสามคน
ประกอบด้วย ตน ภรรยา และลูกชาย
* 奸臣 กังฉิน : ภาษาจีนแต้จิ๋ว 
แปลว่า อำมาตย์ทุจริต, อำมาตย์ทรยศ
มีความนัย คือ การคดโกง, ไม่ซื่อตรง

แต่ทว่า...ชายผู้นั้นก็ได้รู้
กิเลสมีอยู่ทุกผู้ทุกคน หาใช่เพียงแค่ขุนนาง

ภรรยาที่เคยมีหน้าตา มีข้ารับใช้ เพราะยศฐาของสามีเริ่มแปรเปลี่ยน
นางไม่พอใจ ที่ต้องคอยตระเตรียมงานการภายในบ้าน
ไหนจะไร้เงินจับจ่าย ไม่อาจข้าวซื้อของได้ตามต้องการ
เสื้อผ้าที่เคยงดงาม เครื่องประทินผิวที่เคยใช้ ก็ไม่มี

ลูกชายเอง จากเคยคบเพื่อนฝูงสูงศักดิ์
เรียนกับครูปัญญาเลิศนัก ก็เริ่มหน่าย
ต้องร่ำเรียนกับลูกชาวบ้านทั่ว ๆ ไป
ในเรื่องเขียนอ่านง่าย ๆ ไม่มีอะไรต่อยอดพัฒนา

ครั้นแบ่งที่ดินขาย ก็ยากที่จะหาผู้ซื้อ เพราะรกร้างห่างความเจริญ
ประจวบเหมาะกับช่วงค้าขายฝืดเคือง
หาใช่เรื่องที่จะเอาทรัพย์สินไปขายทอดแลกเงิน ให้โดนกดราคา
ด้วยเหตุนี้จึงได้หากินกับสงคราม โดยประยุกต์ใช้ผืนดินที่มี

ทหารชาญตายกลางสมรภูมิกลายเป็นศพ
อเนจอนาถไร้ญาติมาพบ ถูกโยนขึ้นเกวียนทับถมนำไปเผา
นายอำเภอไร้ศักดิ์ รู้สึกเวทนา จึงเจรจาทางการ แล้วเอ่ยเล่า
ว่าตนมีที่ดินรกร้างกลางป่าเขา ห่างไกลชาวประชา
เหมาะเป็นสุสานฝังศพทหารไร้ญาติ
อย่างน้อย...เหล่าชายชาญผู้สละชีพเพื่อชาติ ก็ได้มีพิธีฝั่ง...เยี่ยงคน
หาใช่ถูกโยนเข้ากองเพลิงแผดเผาจนดำป่น เฉกเช่นแมลง

ตนขอรับอาสาดำเนินงานจัดการพิธีศพ
ยินดีทำป้ายปักหน้าหลุม ให้ครบทุกศพทหาร
ขอแค่เพียงเงินซื้อที่หลุมฝัง หลุมละไม่กี่อีแปะจากทางการ
ตั้งแต่ตอนนั้น ก็เริ่มทำงานสัปเหร่อ เป็นต้นมา

โดยไม่ได้แจ้งเหตุแท้จริงแก่ลูกชายและภรรยา
ด้วยทิฐิ และปรารถนาจะประชดทั้งสองให้อับอาย
แต่เงินที่ได้ ก็มากมาย
ยกระดับชีวิตตามที่ลูกชายและภรรยาต้องการ ได้พอควร

หลังจากนั้น ก็มีศพไร้ญาติอื่น ๆ หลั่งไหลเข้ามาเรื่อย ๆ
ซากศพที่กำลังเน่าเปื่อยน่าสังเวชหนักหนา
สัปเหร่อจึงรับร่างเหล่านั้นมารับผิดชอบ จัดแจงจัดการ
หลากหลายศพไร้ญาติถูกฝังเรื่อย ๆ จนแน่นขนัดผืนดินกว้างที่ตนมี

ผีสัปเหร่อได้กล่าวสิ่งที่ต้องการบอกลูกชายไว้เท่านี้
ก่อนจะบอกเราสองว่า “หากพวกท่านทำตามที่ข้าขอนี้ ข้าจะยกที่ดินสุสานทั้งหมดให้พวกท่านครอบครอง”
โดยจะยอมบอกที่ลับซ่อนโฉนดให้ไปขึ้นทะเบียนกับทางการ

เรื่องราวก็มีเพียงเท่านั้น
ทว่า...เจตจำนงของสัปเหร่อผู้ล่วงลับ กลับฉุกใจเว่ยอิง

..........................

“....ด้วยเหตุนี้ พี่รองหลาน ข้าจึงไม่อยากเอาเปรียบเงินในกระเป๋าเจ้า”
เจ้ากาดำกล่าวสรุปพร้อมส่งยิ้มละไมให้ข้า
จากเรื่องราวที่ฟังย้อนทั้งหมดมา ทำให้ข้าแถลงไข
ผีสัปเหร่อ ไม่ได้แจ้งเจตจำนงดีงามที่แท้จริงต่ออาชีพเฝ้าสุสานแก่ลูกชาย
เพราะทิฐิจึงทำให้เกิดเรื่องแสนปวดใจตามมา

ส่วนเว่ยอิงก็เกรงว่าข้าจะซ้ำรอย

...นี่เจ้า...กลัวว่าข้าจะไม่พอใจ เรื่องเจ้าเอาเงินข้าไปใช้สอยงั้นหรือ...
...ต่อให้เจ้าสุรุ่ยสุร่ายจนต้องอดมื้อกินมื้อ มันก็ไม่สั่นคลอนต่อความรักของข้า...อย่างแน่นอน...

“เว่ยอิง ทุกอย่างของข้าเป็นของเจ้า”
น้ำคำนิ่งเรียบ แววตาลึกซึ้ง ปั้นหน้านิ่งจริงจังถมึงถึง
ข้าเอื้อมมือไปกอบกุมมือเรียวข้างหนึ่ง ของผู้ที่นั่งตรงข้าม ซึ่งกวาดรอยยิ้มสดใส
แต่แล้วข้าก็ต้องขมวดคิ้วอย่างขัดใจ
เมื่อเจ้ากาดำถอนหายใจออกมา ก่อนหัวเราะเบา ๆ

“หลานจ้าน... เจ้าลืมไปแล้วหรือ ว่าเจ้าไม่ได้อยู่ใต้ชายคากูซูหลานเฉกเช่นแต่ก่อนแล้ว”

“ข้าไม่ลืม”

“เช่นนั้นเจ้ารู้ตัวใช่หรือไม่ แม้พี่ชายเจ้าเป็นถึงประมุข
แต่เจ้าก็ไม่มีสิทธิ์เบิกเบี้ยหวัดใช้สอยคล่องมือเช่นแต่ก่อน”

“ข้ารู้ แต่ว่า...”

ข้าพยายามจะคัดค้าน
แต่เจ้ากาดำกลับพูดดับทุกความคิดที่อยู่ในใจข้า
อย่างไร้ทางรอดโดยสิ้นเชิง

“ข้ารู้ว่าเจ้ายังได้เงินบำเหน็จตบรางวัลตามภารกิจที่ทางอวิ๋นเซินฯ ไหว้วานให้ไปจัดการ
แต่เจ้ารู้หรือไม่ ว่าคนที่จากมานานวันย่อมถูกลืมเลือน”

“...”

“หากวันหนึ่งพี่ชายท่านไม่ได้เป็นประมุขแล้ว ผู้ใดจะนึกถึงท่านอีกต่อไป”

คำถามนั่นสั่นคลอนใจข้าให้หมุนวน
แต่ข้าก็รั้น อดทนยืดความต่อไป
“เว่ยอิง ข้ายังออกเยี่ยเลี่ยหาเงินจากการช่วยเหลือปุถุชนได้
เจ้าไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีกิน”

“ข้าไม่ได้กลัวจะมีกิน
แต่ชีวิตคน นับวันแรงยิ่งโรยรา เจ้าไม่อาจหากินกับเรื่องพวกนี้ตลอดไปได้
และข้าว่า...การใช้ชีวิตคู่ก็ไม่ควรมีฝ่ายใดถูกเอาเปรียบมากเกินไป
แม้ว่าผู้ถูกเอาเปรียบจะยินยอมพร้อมใจก็ตาม...มั้งนะ”

เว่ยอิงกล่าวจบ ก่อนจะยกมือมาถูจมูกแก้เก้อ
น้ำคำแสนซึ้งใจ ทำให้ข้าเผลอขมวดคิ้วเสียไม่ได้

...แต่ข้าอยากให้เจ้าเอาเปรียบมาก ๆ...
...เพราะตกค่ำ ข้าจะได้เอาเปรียบเจ้าโดยไม่รู้สึกผิดอันใด...
ข้าล่ะอยากพูดเช่นนี้ออกไป
แต่เห็นที...คงจะไม่สมควร

หึ-หึ๊ม!!!

ระหว่างข้ากำลังคิดใคร่ครวญหาคำต่อกร
เว่ยอิงโน้มน้าวกล่อมประล่อมข้าได้อยู่หมัดทันที

“น่า ๆ  พี่รองหลานเจ้าอย่าคิดมาก
ข้าเองก็ชื่นชอบวาดภาพ พอไม่ได้สะบัดพู่กันปาดหมึกนาน ๆ ข้าก็เกรงว่าฝีมือจะฝืดเคือง”

...อืม...
...หากเว่ยอิงต้องการทำเพื่อสนุกสนาน ข้าไม่อาจขัด...
...แต่...แต่ว่า...

“แล้วเหตุใดต้อง...เป็นภาพ...อนา...จาร”
ข้าถามด้วยน้ำเสียงกระแอ้มแผ่วตอนท้าย
เว่ยอิงก็ยิ้มเยาะทันใด จนข้ารู้สึกหงุดหงิดพอกพูนในใจบาง ๆ

...แม้จะเป็นเพียงบุคคลในจินตนาการ ข้าก็ไม่ชอบให้เจ้านึกถึงเช่นกัน!...

“ค้าขายคล่อง ต้องขายของที่ยุ่งเกี่ยวกับกิเลสผู้คนไม่ใช่หรือไร
...อีกอย่าง...ปรมาจารย์อี๋หลิงอย่างข้า ก็เคยคลุกคลีกับสาวงามมากมาย
ทั้งถนัด ทั้งหาเงินสบาย
แล้วเหตุใดข้าต้องปล่อยโอกาสให้หลุดลอยกันเล่า”

“แล้วแผนปลูกไร่ทำสวน...”

“กว่าเวินหนิงจะขุดกระดูกล้างสุสานให้ข้าเสร็จ อย่างเร็วก็น่าจะปลายฤดูฝนนู่น
ระหว่างนี้ ข้าก็หาเงินทำทุน ไว้คอยซื้อเมล็ดพันธุ์ผักผลไม้ไม่ดีกว่าหรือ
นี่ข้าวางแผนจะทำเล้าเป็ด เล้าไก่ด้วย
พ่อพันธุ์แม่พันธุ์อ้วน ๆ คงราคาแพงอยู่เหมือนกัน”

“เช่นนั้นข้าจะ...”

“อย่าได้คิดไปขอแบ่งจากกูซูหลานนะ หลานจ้าน!!
เจ้าออกมาแล้ว ควรอยู่ด้วยลำแข้งของตัวเองได้”
ข้ารีบหุบปากฉับ พลางจ้องปลายนิ้วเรียวที่สะบัดชี้ประชิดหน้า จนแทบกระซวกลูกตาข้า
นอกจากท่านพี่แล้ว คงมีแต่เว่ยอิงนี่แหละหนา ที่ข้าไม่อาจต่อกรได้

“ตามใจเจ้า”
ไม่อาจทัดท้านต้านทาน
ข้าทำได้เพียงปล่อยให้เจ้ากาดำสยายปีกโผบินตามต้องการดั่งใจตน

เย็นนั้น...แท่นฝนหมึก และพู่กันอย่างดี ถูกซื้อกลับบ้าน
พร้อมด้วยกระดาษว่างหลายมัด ที่ข้าหอบกลับด้วยสองแขนอย่างลำบากยากเย็น

ย่ำค่ำจนฟ้าสาง เว่ยอิงนั่งวาดภาพพิถีพิถัน
ข้าจ้องมองเงาวูบไหวที่กระทบฉากกัน ไม่อาจเข้าหา
จะนอนก็นอนไม่หลับ ครั้นจะลุกขึ้นไปนั่งข้างก็ถูกตะเพิดออกมา
และแล้วก็เป็นข้าที่ต้องยอมถอดใจ ไม่วุ่นวายกับเจ้าตัว

ราวสามวันที่เว่ยอิงจมปลักอยู่กับการลากพู่กันตวัดเส้นหมึก
เช้าวันหนึ่ง เจ้าตัวก็เร่งรี่หอบภาพวาดออกจากชายคาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง
ประจวบเหมาะ ช่างพอดีกับที่ข้าต้องไปรายงานภารกิจที่สกุลเช่นกัน
ความไม่ชอบมาพากล ทำให้ข้าวานจ้างพ่อค้าผู้หนึ่งให้ช่วยเหลือจัดการแทน

ข้ารบกวนพ่อค้าขายภาพวาด ที่เว่ยอิงฝากภาพวานวางขาย
ข้าแจ้งเขาว่า หากเจ้าตัวดีนำภาพมาให้เมื่อไหร่ จงเก็บไว้ให้ข้า
ยามแบ่งเงินกัน ก็บอกเพียงเศรษฐีเจ้าสำราญผู้หนึ่งเป็นผู้ต้องตาเท่านั้นพอ

ตกเย็นวันนั้น ข้ารีบเร่งไปรับภาพก่อนกลับ
เมื่อพ่อค้าผู้นั้นยื่นภาพให้ข้ารับ เขาจ้องหน้าข้า หัวเราะคิกคันจนตัวแทบหงาย
ข้าเองที่ประสงค์เพียงภาพของเว่ยอิง หาได้คิดอะไร
ระหว่างทาง เมื่อเห็นว่าไร้สายตาคนแล้วไซร้ จึงรีบคลี่ม้วนภาพดูด้วยความสงสัยอย่างทันท่วงที

ลายหมึกหนักแน่นมั่นคงลากผ่าน
ต่อเส้นผสานประณีตงดงาม ฝีมือใช่ย่อย
แต่ที่เห็นหาใช่ภาพอนาจารกามอารมณ์แม้แต่น้อย
แต่เป็นภาพกิจวัตรของสาวน้อยผู้หนึ่งเท่านั้นเอง






…ทว่า...
เหตุไฉน ใบหน้าสาวน้อยทัดดอกไม้ประดับผมผู้นี้ ถึงหน้าเหมือนข้านักเล่า!?

เว่ยอิง!!!!







นี่แหละ...คือ านการของปรมาจารย์อี๋หลิง
และจิตใจที่ว้าวุ่นของหานกวงจวิน

ลงชื่อ... ( หลานวั่งจี )





: Suky's Talk :

แหะ ๆ น้ำกาวกระท่อมร้อยไห
ไม่ได้ลงนานแล้ว หวังว่าจะไม่ฝืดไปเนาะ

ขอบคุณทุกคนที่หลงเข้ามาอ่านนะคะ
ถ้าชอบและถูกใจ Fic เรื่องนี้อะไรยังไง
อย่าลืมคอมเม้นท์บอก
เพื่อเป็นกำลังใจให้กับเรานะคะ



【บทที่ 6 - จบ】
โปรดติดตาม ตอนต่อไป





จะรีบไปไหนๆ ถ้าชอบและถูกใจ Fic เรื่องนี้ 
อย่าลืมส่งมอบคำติชม หรือให้กำลังใจ กับ Suky ได้ที่


『กล่อง Comment ด้านล่าง』
ไม่ต้องสมัคร/ลงทะเบียนให้วุ่นวาย พิมพ์ได้เลย! 

หรือ

หากท่านเล่นทวิตเตอร์ เมนชั่นคุยกันใต้ทวีตเรื่องนี้
คลิ๊กตัวอักษรสีฟ้าเลย

ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน Fic เรื่องนี้นะคะ อิอิ




ติดตามผลงาน Fic / นิยาย ของ Suky ได้ที่

============================
============================

ความคิดเห็น

  1. ไม่ระบุชื่อ26 สิงหาคม 2562 เวลา 09:35

    น่ารักจริงเลย ออกจากกูซูมาใช้ชีวิตสินะ 55555

    ตอบลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ12 ตุลาคม 2562 เวลา 08:13

    สนุกมากๆเลยค่ะ
    ขอบคุณสำหรับความน่ารักของคู่นี้ที่คุณเล่าออกมา
    ท้ายที่สุดแฃ้วหลานจ้านก็ยังเป็นคนที่หลงเว่ยอิงและเดินเคียงข้างเว่ยอิงเสมอ ประทับใจการสร้างเนื้อสร้างตัวของคู่นี้ อิอิ
    และท้ายที่สุด คิดว่าหลานจ้านก็คงหาเหตุผลเอาเปรียบเว่ยอิงได้แน่ๆ หึหึ

    ตอบลบ
  3. พอตอนสุดท้ายแล้วขำจนปวดท้อง5555555 น่ารักมากๆเลยค่ะ ขอบคุณที่แต่งให้อ่านนะคะ ภาษาสวยมากเลย

    ตอบลบ
  4. พอตอนสุดท้ายแล้วขำจนปวดท้อง5555555 น่ารักมากๆเลยค่ะ ขอบคุณที่แต่งให้อ่านนะคะ ภาษาสวยมากเลย

    ตอบลบ
  5. พอตอนสุดท้ายแล้วขำจนปวดท้อง5555555 น่ารักมากๆเลยค่ะ ขอบคุณที่แต่งให้อ่านนะคะ ภาษาสวยมากเลย

    ตอบลบ
  6. น้องงงงงงง555555555

    ตอบลบ

แสดงความคิดเห็น