Fic 魔道祖师 Mo Dao Zu Shi : EMPTY (The Beginning)

Title : Fic 魔道祖师 Mo Dao Zu Shi
Type : One Short  Fiction

Topic : EMPTY (The Beginning)

Pair : หลานซือจุย x หลานจิ่งอี๋


คำเตือน 
  • Fic เรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องกับความรักระหว่างเพศเดียวกัน หากมีทัศคติที่รับไม่ได้กรุณากดออก
คำชี้แจง

  • Fic เรื่องนี้ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเนื้อหาหลักใดๆ ของปรมาจารย์ลัทธิจารย์ Mo Dao Zu Shi 魔道祖师 ที่อาจารย์ Mo Xiang Tong Xiu เป็นเจ้าของผลงาน เป็นเพียงเรื่องสมมติที่จินตนาการมาจากความคิดผู้แต่ง
  • ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน Fic เรื่องนี้กันนะคะ ถ้าชอบอย่าลืมช่วยกันคอมเม้นท์ โหวต แชร์ ถูกใจ หรือติดตามเป็นกำลังใจให้แก่คนเขียนนะคะ
  • หากมีผิดพลาดประการใด ไม่ถูกใจท่านผู้อ่าน ต้องกราบขออภัยล่วงหน้าค่ะ
  • รักนักอ่านทุกท่านคะ
EMPTY

(The Beginning)

หลานซือจุย x หลานจิ่งอี๋


『หลานจิ่งอี๋ 』

พวกเราทั้งสามต่างเป็นเด็ก...
เราทั้งสาม ข้า ซือจุย และคุณชายจิน ช่างเยาว์วัยนักเมื่อเทียบกับโลกหล้าที่หมุนเวียนเปลี่ยนผันวันคืนไม่รู้จุดเริ่มต้นและจุดจบแห่งนี้

เรื่องราวเวินเยวี่ยนของหลานซือจุย เรื่องราวคุณชายสองตระกูลผู้กำพร้าตั้งแต่แบเบาะของจินหลิง ต่างเป็นเรื่องราวที่ติดตัวพวกเขาทั้งคู่ให้จดจำ บอกเล่าถึงตัวตนว่าครั้งหนึ่งเคยได้ผ่านอะไรมา อดีตที่ตราตรึงเสมือนบาดแผลจารึกจากสงคราม ที่ยามจ้องมองกลับสื่อความหลากหลายได้มากกว่าหมื่นคำพรรณนาเอ่ยถึง

...ข้าจึงอิจฉาพวกเขานัก...

อายุของพวกเราไล่เรี่ยกัน ทว่ายามที่ข้ายืนอยู่ข้างพวกเขาทั้งสองนั้น กลับดูเหมือนว่าข้าช่างอ่อนต่อโลกไปในพริบตา

ข้า...หลานจิ่งอี๋ ผู้ไม่มีอดีตแสนเจ็บปวดให้ก้าวผ่าน ไม่มีความแค้นเคืองใดให้จัดการกลบเกลือน ไม่มีความโหยหาอาทรเบื้องลึกเบื้องหลังใดให้คิดคะนึง

ข้า...หลานจิ่งอี๋...ผู้ว่างเปล่าหาได้มีสิ่งใดให้จดจำบ่งบอกตัวตน

ยามหลับตาห้วนนึกถึงอดีต กลับพบเจอแต่ความดำมืด ไม่เคยมีความฝันหวนระลึกกล้ำกลืนเศร้าโศก หรือโหยหาความสุขสม จากในวันวาน ข้ารู้ตนดีว่าสกุลหลานที่ได้มานำหน้าชื่อหาใช่เพราะสายเลือด แต่ได้มาเนื่องจากความมีเมตตาของเหล่าอาวุโสในสกุล ที่เห็นพ้องต้องกันว่าสมควรให้ใช้ ทว่า...ยามเค้นความทรงจำถึงบิดรมารดาต้นตระกูลของข้าที่แท้จริง ก็หาได้เจอแม้แต่เศษเสี้ยวให้หวนถึงเลย

จินหลิงยังมีผู้บอกเล่าได้ว่าสูญเสียบุพการีไปได้อย่างไร หลานซือจุยยังมีขุนพลผีข้ารับใช้นามเวินหนิงเป็นญาติผู้ใหญ่เฝ้ามองเติบโต ทั้งสองต่างมีเรื่องราวผูกพันธ์กับปรมาจารย์อี๋หลิงเหลาจู่ ต่างมีผู้อุปการะเลี้ยงดูดียิ่งไม่ว่าจะประมุขเจียง หรือหานกวงจวิน ที่เก่งกาจคอยฝึกสอนดูแล

...แล้วข้าผู้นี้เล่า มีอะไรเทียบเคียงกับพวกเขาได้บ้าง...

ข้าอยู่ในรั้วอวิ๋นเซินปู้จื่อฉู่ตั้งแต่จำความได้ มีศิษย์พี่และเหล่าอาวุโสมากมายคอยพลัดเปลี่ยนดูแลสอดส่อง กิจวัตรใดไม่หนักหนาเกินกำลัง พอจะกระทำได้ ก็ต้องทำด้วยตนเอง ตอนข้าสามขวบ ข้าสามารถสวมเสื้อผ้าเองได้ จัดเก็บที่หลับที่นอนเองได้ หยิบช้อนป้อนอาหารเข้าปากตัวเองไม่หกเลอะเทอะได้ ซักเสื้อผ้าเองได้ อาบน้ำชำระร่างกายเองได้

เติบโตมาเรื่อยๆ ฝึกฝนพัฒนาตนด้วยตัวเอง สร้างตัวตนของหลานจิ่งอี๋ผู้โดดเด่นด้วยความใจร้อนโลดแล่นให้ประจักษ์จดจำ หาได้มีจุดเริ่มต้นจากเงาบารมีผู้ใดให้หยิบยืมเบิกทาง เฉกเช่น หลานชายประมุขเจียง หรือศิษย์ในอุปถัมภ์ของหานกวงจวิน ไม่มีร่มไม้ใหญ่ปรกหัวให้ได้พึ่งพิงพึ่งพา บางครั้งข้าก็อยากจะบอกพวกเขาเหลือเกินว่า พวกเขาช่างโชคดีเท่าไหร่ที่ไม่โดดเดี่ยวเดียวดาย 

...และผู้แรกที่ทำให้ข้าหลุดพ้นจากความเดียวดายคือหลานซือจุย...

ไตร่ตรองถี่ถ้วน ครั้งแรกที่ข้าพบเจอหลานซือจุยยังคงแจ่มชัด

เนื่องจากใช้สกุลหลานนำหน้าชื่อ จึงได้อาศัยในเขตพำนักของศิษย์ในสกุล อีกทั้งตอนนั้นข้าพึ่งสามขวบ ยังเล็กเกินไปที่จะเริ่มร่ำเรียนเฉกเช่นเดียวกับเหล่าศิษย์พี่ที่มีแต่อายุเกินสิบปีไปแล้ว หน้าที่หลักของข้าจึงคอยดูแลเรื่องจิปาถะต่างๆของเหล่าผู้อาวุโสหลานในเขตพำนัก ไม่ได้ออกไปไหนหรือทำอะไรเกินกว่านั้น

ตื่นแต่เช้าตรู่ จัดการตนเองหลังจากตื่นนอนเสร็จสิ้น ก็ตรงดิ่งไปที่โรงครัว มักพบเจอเหล่าศิษย์พี่และบ่าวไพร่ที่พลัดเปลี่ยนหน้าตาไปตามแต่ละเวรประจำวัน กำลังสาละวนจัดเตรียมอาหารเช้า ให้ปากท้องทั้งหลายในสำนักกูซูหลานแห่งนี้ได้อิ่มหน่ำและเพียงพอต่อจำนวนคน 

ส่วนอาหารเช้าของข้านั้นมักจะได้กินก่อนคนอื่น เพราะต้องไปตักน้ำล้างหน้ายามเช้า ให้แด่เหล่าอาวุโสของในสำนักกูซูหลานแห่งนี้ ดังนั้นยามใครสักคนในโรงครัวเห็นข้าปรากฏตัว ก็จะรู้ทันทีว่าต้องจัดเตรียมอาหารง่ายๆยัดใส่มือให้ก่อน เช่นว่า ข้าวสวยคลุกแกงจืดโรยด้วยเนื้อปลาแห้ง หมั่นโถวพร้อมน้ำแกงเคี่ยวจากกระดูกและสมุนไพรต่างๆ บ้างก็เป็นซาลาเปาให้ข้าได้ถือกินง่ายๆ หากพวกเขาว่าจะยุ่งเกินไป ข้าก็มักจะหยิบจัดการทานเองเสียส่วนมาก

เมื่อทานเสร็จแล้วก็ล้างถ้วยชามประจำตัว คว่ำวางบนชั้นไม้ที่ประจำของตน ณ ตอนนั้นแสงอโณทัยแรกก็คลืบคลานอาบหุบเขาพอดี ภารกิจเริ่มต้นวันของข้า คือเตรียมน้ำล้างหน้าให้แก่เหล่าอาวุโสหลานทั้งหลาย หยิบถังไม้ไปรองใต้คันสูบ ยื้อตัวสูงโหนคันโยกหางลิงแสนหนักฝืดสูบน้ำบาดาลใส่ถัง แล้วถือเดินเตาะแตะหาบถือมันไปตามทาง ด้วยความระมัดระวังไม่ให้น้ำกระฉอกหกเปรอะเปื้อนเฉลียงทางเดินที่คดเคี้ยวไปมา เข้าออกห้องต่างๆ ก้มคารวะทักทายอาวุโสหลานที่พึ่งตื่นนอน แบ่งเทน้ำใส่กะละมังล้างหน้าของแต่ละคน และวนไปสูบน้ำใหม่ยามวารีในถังขอดก้นถัง ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆจนครบจำนวนทุกท่านได้ล้างหน้าล้างตา

บ้างก็ทำหน้าที่ปลุกหรือตรวจสอบความป่วยไข้ หากพบเจอใครที่ยังคงไม่ลุกออกจากต่างเตียง บ้างก็ทำหน้าที่ส่งสารยามเช้า แจ้งข่าวนั่นนี่ เดินถือจดหมายจากท่านผู้นั้นไปให้ท่านผู้นี้ ซึ่งข้าก็รู้สึกสนุกดีเมื่อได้รับคำชม หรือของเล็กน้อยตอบแทนจากผู้หลักผู้ใหญ่

เสร็จสิ้นกิจก็จะเร่งรี่ไปที่หอตำรา ชะล้างพู่กันขนเพียงพอนสีเหลืองทองให้สะอาด แขวนบนราวนำไปตากแดดให้แห้งพร้อมใช้งาน จัดการเช็ดคราบแท่งฝนหมึกให้สะอาดสะอ้าน พร้อมตรวจสอบจำนวนแท่งหมึกมาวางให้เรียงสะดวกใช้ได้ทันท่วงที ระหว่างที่รอพู่กันแห้งก็จัดแจงเรียงหนังสือ ตำราและม้วนคัมภีร์ที่อยู่ผิดที่ผิดทางให้คืนถิ่นที่เดิม

พอเข้ายามสายก็นำราวพู่กันกลับมาวางที่โต๊ะคัดอักษรตามเดิม หลังจากนั้นก็ออกจากหอตำราไปโรงครัวอีกครั้ง ระหว่างที่บ่าวไพร่กำลังจัดการชะล้างถ้วยชามจากสำรับอาหารเช้า ณ มุมหนึ่งตรงโรงครัวจะมีตะกร้าเศษผัก และนั่น...เป็นหน้าที่ของข้าที่ต้องจัดแจงหอบลากเอาไปให้พวกกระต่ายที่เขตพำนักของหานกวงจวิน

หน้าที่ข้าที่รับบัญชาจากศิษย์พี่จริงจัง นอกจากตักน้ำล้างหน้าให้อาวุโสหลานแล้ว ก็มีเพียงดูแลกระต่ายในเขตที่พักของหานกวงจวิน ด้วยตอนนั้นหาได้คุ้นเคยสนิทกัน ข้ากับเขาจึงไม่เคยเสวนาปฏิสัมพันธ์กันนอกจากทักทาย บางครั้งเขาเปิดประตูห้องหับ แล้วพบเจอข้าที่กำลังมาให้อาหารกระต่ายโดยบังเอิญ ข้าก็เพียงทำความเคารพเขาตามมารยาท สิ่งที่รับกลับมาบางทีก็เป็นการพยักหน้า หรือเสียงอืมจางๆเท่านั้นเอง

ด้วยความที่ข้าต้องเอาเศษผักที่เหลือจากการปรุงอาหารไปกระต่าย พร้อมจัดแจงทำความสะอาดสิ่งที่พวกมันทำสกปรกรุงรังไว้สองเวลา เวลาแรกคือตอนสาย เวลาสองคือตอนค่ำ ข้าจึงเข้าออกเขตพำนักของหานกวงจวินเป็นว่าเล่น ด้วยเหตุนี้ทำให้สังเกตุเห็นชีวิตของหานกวงจวินอยู่เหมือนกัน 

ในเขตห้องหับของหานกวงจวินมักสงบเงียบเชียบ ด้วยเขามีวิสัยที่เป็นผู้สุขุม อีกทั้งตอนนั้นเขาค่อนข้างปลีกวิเวก อาจเพราะสาเหตุที่ข้าได้ยินแว่วว่า เขาบาดเจ็บเพราะรับโทษทัณฑ์เฆี่ยนตี รวมทั้งกำลังตกอยู่ในภาวะเศร้าโศก จึงไม่ได้ค่อยปฏิสัมพันธ์เสวนากับผู้ใดนัก อาจมีบ้างที่เห็นเสวนากับเจ๋ออู๋จวิน และประมุขหลานฉี่เหริน นอกจากนั้นหากไม่อุ้มลูบกระต่ายด้วยสีหน้าเหม่อลอย คัดอ่านตำรา หรือเล่นกูฉิ่น ก็มิได้กระทำกิจอันใดแตกต่างไปจากนี้

...จนกระทั่งวันหนึ่งที่เขาหมดพ้นโทษกักกันตัว หานกวงจวินก็หายไปราวหนึ่งสัปดาห์เต็ม...

ข้าจำได้ดี วันนั้นเป็นช่วงปลายฝนต้นหนาว ข้ากำลังเตรียมหอบเอาฟางเก่าสำหรับปูรองพื้นให้เจ้ากระต่ายได้นอนไปทิ้ง แล้วตระเตรียมปูฟางใหม่ให้แก่พวกมัน อยู่ๆเสียงอื้ออึงบนเฉลียงทางเดิน ก็เรียกให้ข้ารีบมุดตัวลอดออกมาจากเพิงคอกกระต่าย แล้วชะเง้อจ้องดูด้วยความสนใจ

สิ่งที่ได้พบ คือหานกวงจวินกำลังโอบอุ้มเด็กชายผู้หนึ่งในสภาพซ่อมซอสกปรกไร้สติ ด้วยสีหน้าเครียดขึงแววตาของร่างสูงบ่งบอกถึงความกระวนกระวายเด่นชัด ฉายอารมณ์ให้ข้าได้ประจักษ์ครั้งแรก เมื่อร่างของหานกวงจวินหายเข้าไปในห้อง ไม่นานนักเสียงฝีเท้าสะท้อนก้องเฉลียงทางเดิน เพราะความเร่งรีบของเจ๋ออู๋จวินและท่านหมอประจำสกุลหลานผู้หนึ่งก็ตามมา

ข้าแอบชะโงกหน้าเงี่ยฟังด้วยความอยากรู้อยากเห็นอยู่พักหนึ่ง  ทว่า...เสียงพูดที่ฟังไม่ได้สรรพ พร้อมกับพึ่งระลึกตนได้ว่า หาได้มีเกี่ยวกงการเกี่ยวข้องอันใด จึงผละจากละความสนใจไม่ใคร่ฟังบทเสวนาเหล่านั้นต่อ แล้วกลับมาตั้งมั่นจัดการที่หลับที่นอนของเจ้าพวกกระต่ายให้แล้วเสร็จ หลังจากนั้นก็จากไปอย่างเงียบงันดังเช่นเคยทำ

ในช่วงเวลาหนึ่งเดือนหลังจากหานกวงจวินพาเด็กชายแปลกหน้าเข้ามาในกูซูหลาน หน้าฝนก็ได้คลืบคลานเข้ามาแล้ว ในขณะเดียวกัน ก็เป็นช่วงเวลาที่ข้าต้องวิ่งวุ่นกับการวิ่งไล่จับ เพื่อโอบอุ้มเจ้ากระต่ายโง่เง่าไร้สมองทั้งหลาย นำไปหลบฝนในเพิงนอนของมัน ทุกครั้งยามเมื่อท้องนภามีเค้าว่าจะหลั่งสายฝนลงเม็ดสาดเท

ทำให้ช่วงเวลานั้นข้าเวียนวนอยู่ในเขตพำนักของหานกวงจวินเป็นส่วนมาก ข้าจึงได้สังเกตุได้ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเด็กชายผู้ที่นอนซมอยู่กับฟูกตลอดเวลากับหานกวงจวินนั้น นับว่าไม่ธรรมดาเลยทีเดียว หานกวงจวินผู้นั้นป้อนข้าวน้ำ เช็ดเนื้อตัวดูแลพยาบาลเขา ราวกับพ่อดูแลลูก แม้ไม่มีเสียงเสวนาแต่การกระทำช่างอบอุ่นและเปี่ยมไปด้วยความอาทรห่วงใยไม่ปิดบัง

...จนข้าอดรู้สึกโหว่งวูบในอกเพราะริษยาอยู่ไม่น้อยเช่นกัน...

หนึ่งอาทิตย์ผ่านไป เด็กผู้นั้นที่นอนซมบนฟูกก็ลุกขึ้นนั่งและเปล่งเสียงพูดคุยได้แล้ว เจ๋ออู๋จวินและหลานฉี่เหรินต่างแวะเวียนมาพุดคุยอะไรบางอย่างกับหานกวงจวินแทบทุกวัน แม้ไม่ใช่กิจแต่ของข้า แต่เสียงที่ลอยลอดออกมาก็ทำให้ข้าพอรู้ได้ว่า เด็กคนนั้นกำลังจะได้ใช้สกุลหลานเช่นเดียวกัน นอกนั้นข้าก็หาได้ใส่ใจลักลอบฟังความให้เสียการงาน มุ่งมั่นขยันเพียรจัดการเช็ดเนื้อตัวเจ้ากระต่ายซื่อบื้อที่ชอบไปคลุกแอ่งโคลนบ่อยครั้งจนขนเกรอะมอมแมม อย่างไม่ใคร่สนใจสิ่งที่พวกผู้ใหญ่คุยกัน

...ใครจะเป็นอย่างไร ทำอะไรก็ช่างเถอะ เพราะทั้งชีวิตข้ามีเพียงแค่สกุลหลานเท่านั้น หากไม่กระทำหน้าที่ตามมอบหมายบัญชา เด็กไร้หัวนอนอย่างข้าจะทนอยู่ที่นี่ได้อย่างไร...

จนกระทั่งวันหนึ่ง...

เช้าตรู่ที่หมอกลงจัด ข้าตื่นเช้ากว่าปกติเร่งรี่ไปที่เพิงคอกกระต่าย เพราะขังพวกมันหลบฝนไว้ตั้งแต่เที่ยงวันเมื่อวาน ด้วยความที่ข้าขังมันนานเกินกว่าที่แล้วมา ทำให้อดคิดกังวลไม่ได้ว่า พวกมันจะเครียดจนพังรั้วออกมาได้ และตะปูที่ตอกรั้วหรือเสี้ยนไม้ อาจทำให้พวกมันบางตัวบาดเจ็บเลือดตกยางออก ทว่าภาพที่เห็นทำให้ข้าชะงักฝีเท้าจ้องมองด้วยความสับสนว่าจะเอาอย่างไรต่อดี

สิ่งที่พบเจอหาใช่รั้วล้มพังครืน พร้อมเหล่ากระต่ายดาษดื่นแหกรั้วกระจัดกระจาย แต่ท่ามกลางม่านหมอกร่างของหานกวงจวินโดดเด่นยิ่งนัก ใบหน้าที่เรียบนิ่งไม่เผยอารมณ์กำลังแย้มยิ้มจางๆ อีกทั้งกล่าวอือออตามเสียงไตร่ถามนั่นนี่ กับให้เด็กชายคนนั้น ผู้กำลังยืนอยู่ในดงกระต่าย ที่บางทีก็หัวเราะอย่างมีความสุขกับพฤติกรรมงี่เง่ากับเจ้าสัตว์สี่เท้าขนปุยหูยาว 

เสี้ยวลมหายใจที่ข้าคิดได้ว่าควรหันหลังกลับ สวรรค์ก็ช่างกลั่นแกล้ง ทั้งสองหันมามองข้าอย่างพร้อมเพรียง ตอนนั้นข้ารู้สึกแข็งทื่อราวถูกสาป ทั้งๆที่มาที่นี่หลายหมื่นรอบ ทั้งๆที่เจอหน้าหานกวงจวินหลายครั้งแล้วก็ตาม แต่พอถูกจ้องมองตรงๆทำให้ข้ารู้สึกอึกอัก ครั่นเนื้อตัวเพราะหวาดระแวงเอาเสียดื้อๆซะอย่างนั้น ในหัวคิดใคร่ครวญว่าจะประสานมือคำนับทักทายอย่างปกติ หรือว่าจะแจ้งกิจว่ามาดูกระต่ายดี ระหว่างที่กำลังสับสนสะพรั่นสะพรึงอยู่นี้ จู่ๆ เด็กชายร่างผอมสูงโย่งที่กอดกระต่ายในอกตัวหนึ่งอยู่นั้นก็เงยหน้าสบตากับหานกวงจวิน ส่วนผู้อุปถัมภ์ก็พยักหน้าให้อย่างหนักแน่นเป็นสัญญาณ

...และแล้วบทเสวนาแรกของข้ากับหลานซือจุยก็เกิดขึ้น...

“หานกวงจวินบอกว่า เช้านี้เจ้าต้องมาเปิดกรงกระต่ายแน่ๆ พวกเราเลยมารอเจ้า” เด็กชายที่สูงกว่าข้าราวหนึ่งศอก ออกเดินสาวเท้าย่ำยอดหญ้าเปียกน้ำค้างมาหาข้า พร้อมกระต่ายที่ข้าจำได้ว่ามันเป็นหัวโจกอันธพาลชอบแย่งอาหารจากปากตัวอื่นๆจนอ้วนพี ข้ามองรอยยิ้มของคนไม่คุ้นหน้าด้วยความรู้สึกประหม่า เขาคนนั้นใกล้เข้ามาจนระยะระหว่างเขากับข้ากระชั้นชิด ร่างกายข้าก็สั่งให้เยื้องเท้าไปข้างหลัง เตรียมตั้งท่าวิ่งอย่างลืมตัว 

เมื่ออีกฝ่ายเห็นดังนั้น ดวงตาของผู้ที่อยากจะผูกมิตรก็จ้องมองเข้ามาในดวงตาของร่างเด็กน้อยตรงหน้า จึงสัมผัสได้ว่ามันมีความประหม่าก่อตัววกวนในดวงตาโตคมคู่นั้น ทำให้เขารู้ตัวเสียทีว่าผู้ที่รับผิดชอบเหล่ากระต่ายตัวน้อยกำลังหวาดกลัว

“เอ่อ...เจ้า...” และบทสนทนาแรกของเราก็จบลงเพียงเท่านั้น พร้อมกับตัวข้าที่หันหลังวิ่งหนีจากไป...

หากถามข้าว่าเหตุใดตอนนั้นถึงวิ่งหนีออกมา... ข้าคงตอบได้เพียงว่า ข้ากำลังรู้สึกสูญเสียอยู่ละมั้ง

อาจฟังดูแล้วเป็นคำตอบที่งี่เง่ายิ่งนัก แต่มันเป็นความจริง ตอนนั้นข้าไม่มีความทรงจำใดเลย ทั้งบ้านเกิด ทั้งครอบครัว ทั้งเรื่องของตัวเอง ดังนั้นสิ่งที่ยึดเหนี่ยวได้ว่า ตัวข้าหาได้ตกอยู่ในห้วงความฝัน นอกจากความเหน็ดเหนื่อยจากการกระทำหน้า ที่ได้รับมอบหมายมาจากเหล่าผู้คนในอาภรณ์สีขาวแล้วนั้น ก็คงมีเพียงเจ้ากระต่ายทั้งหลายที่ต้องคอยรับผิดชอบดูแลด้วยน้ำพักน้ำแรงเท่านั้นแหละ ที่ย้ำเตือนว่าข้าเป็นคนของที่นี่ เป็นหลานจิ่งอี๋...ศิษย์ในสกุลหลาน

พอมาเห็นเจ้ากระต่ายที่เคยดูแลด้วยความหมั่นเพียร อยู่ในมือของว่าที่สมาชิกสกุลหลานอีกคน ที่ดูเหมือนว่าอายุไล่เลี่ยกับข้า อีกทั้งยังเป็นผู้ที่หานกวงจวินดูออกจะเมตตารักใคร่ ทำให้ข้าอดคิดไม่ได้ว่ากำลังจะโดนเขี่ยทิ้งอย่างไรอย่างนั้นเลยทีเดียว

ตอนนั้นข้ารู้สึกน้อยใจถึงขีดสุด และพึงระลึกได้ว่า ข้าควรเรียกตัวเองว่า ‘ศิษย์สกุลหลาน’ ได้หรือ ในเมื่อหน้าที่ที่ข้ากระทำต่างจากเด็กรับใช้ตรงไหน เพียงแค่ใช้สกุลหลานแล้ววิเศษวิโสอันใด ในเมื่อใครต่อใครก็ต่างถูกตั้งให้ใช้สกุลนี้ได้ หากเหล่าคนในสกุลเห็นพ้องสมควร ข้าที่โดดเดี่ยววนเวียนในเขตพำนักคนในสกุลหลาน ไม่ต่างอะไรจากผีเฝ้าอวิ๋นเซินปู้จื่อฉู่ หากวันหนึ่งหายไปจะมีใครใคร่ตามหาบ้าง ตื่นขึ้นมาก็ตัวคนเดียว ล้างหน้าล้างตาจัดแจงเสื้อผ้าตัวคนเดียว กินข้าวล้างจานตัวคนเดียว จัดการหน้าที่ต่างๆที่รับมอบหมายตัวคนเดียว หาได้เป็นคนสำคัญในชีวิตใคร ในขณะที่เด็กในวัยเดียวกันคงมีพ่อแม่ญาติผู้ใหญ่ดูแลใกล้ชิดไม่ห่าง...ขนาดเด็กคนนั้นยังมีหานกวงจวินอุปถัมภ์ดูแลไว้

...แล้วข้าล่ะ มีใครบ้าง?....

ด้วยที่ตอนเด็กคิดได้เพียงแค่นั้น ทำให้ข้าเลือกที่จะไม่ไปดูแลกระต่ายอีกต่อไป ผ่านไปสามวันข้าก็อดห่วงพวกมันไม่ได้อยู่ดี ทว่า...ภาพที่เห็นก็ซ้ำเดิม...หานกวงจวินและเด็กคนนั้นยืนอยู่ท่ามกลางพวกกระต่ายด้วยบรรยากาศรื่นเริงโอบล้อม อีกทั้งเจ้าพวกสัตว์ขนปุยก็ดูคุ้นชินกับคนแปลกหน้าอย่างดิบดี เนื้อตัวสะอาดสะอ้าน ฟางปูนอนไม่เปียกชื้นเฉอะแฉะสกปรก และดูเหมือนว่าจะอิ่มหมีพีมันกับผลแอปเปิ้ลสับเป็นชิ้นเล็กๆ อย่างเอร็ดอร่อย แม้ว่าข้าจะสรรหากิจกล่าวอ้างเข้าไปพูดคุยสอบถามพวกเขาได้ว่าแกะเมล็ดเจ้าผลไม้หวานหอมนั่นออกรึยัง เพราะมันเป็นพิษ แต่ก็ฉุกคิดได้ว่ามีหานกวงจวินอยู่ตรงนั้น มีหรือต้องห่วงอะไร ข้าจึงผละมาโดยเสื้อผ้าไม่มีกลิ่นสาบเจ้าสัตว์ซื่อบื้อหูยาวติดเสื้อผ้าอาภรณ์

...คิดในแง่ดี อย่างน้อยภาระที่กินเวลาชีวิตของข้าราวสี่ชั่วยามก็หายไป เสื้อผ้าข้าก็ใส่ซ้ำได้ ไม่ติดกลิ่นสาบหรือเศษดินเศษผักให้ต้องซักทุกวัน...

นอกเหนือหน้าที่จากตักน้ำล้างหน้าให้เหล่าอาวุโสหลานทั้งหลายตอนเช้าตรู่ ข้าก็ใช้เวลาที่ว่างเว้นจากการไม่ต้องไปสาละวนกับสัตว์เลี้ยงในเขตพำนักของหานกวงจวิน หมกตัวอยู่ในหอตำราเป็นส่วนมาก ที่นั่นมักว่างเปล่า...อาจมีศิษย์สกุลหลานมาใช้งานบ้าง แต่ก็ไม่ใคร่อยู่นาน ด้วยความที่มีบางจุดบางแห่งยังคงเสียหายเพราะถูกทำลายจากการรุกล้ำของสกุลเวิน จึงไม่ได้ประกาศใช้อย่างเป็นทางการ บางวันข้าก็พบเห็นพวกช่างไม้มาจัดการทำนุบำรุงเป็นครั้งคราว แต่พวกเขาก็ยุ่งวุ่นวายเพียงด้านนอก หาได้ย่างกรายมาจัดการด้านใน

ข้าจึงยึดเอาหอตำราแห่งนั้นเป็นที่เริ่มฝึกฝนวิชา เริ่มคัดอักษร เริ่มหัดอ่านบทประพันธ์คำกลอนตีความหมาย หลักจริยธรรมใหคัมภีร์พระไตรปิฎกแม้อ่านได้บ้างไม่ได้บ้าง เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างก็จดจำคัดลงให้ฝังลึกเป็นความรู้ติดตัว ยามมีใครไตร่ถามว่าข้ามีธุระอันใดที่นี่ ข้าก็ตอบเพียงว่ามาจัดการดูแลตำรา บ้างครั้งก็จัดการช่วยพวกศิษย์ในสกุลเสาะหาตำราที่ต้องการแลกกับตอบคำถามในความรู้ที่สงสัย

เพราะข้าไม่มีผู้ชี้แนะ จึงทำให้มีหลายอย่างข้องในใจไม่บรรลุ แม้จะได้คำตอบจากการสอบถามผู้มาแวะเวียนหอตำราบ้าง แต่ก็ไม่แตกฉานครบทุกอย่างที่ต้องการ จนกระทั่งช่วงหนึ่งที่ความไม่รู้พอกพูนจนข้าไม่อาจปล่อยผ่านได้ จึงตัดสินใจถือโอกาสใช้ช่วงเวลาตักน้ำล้างหน้าเข้าหาเหล่าอาวุโส เริ่มพูดคุยซักถามนั่นนี้ เสวนาปฏิสัมพันธ์มากกว่าการคำนับทักทายยามเช้า หรือบอกกล่าวว่าเอาน้ำมาให้แล้ว

ข้าเริ่มมีตัวตนขึ้นมาบ้าง พวกเขาเริ่มจำชื่อข้าได้ ข้าคาดหวังว่าภาพลักษณ์ช่างขวนขวายเรียนรู้นี้ จะทำใหอาวุโสหลานสักคนนึกเอ็นดู แล้วอุปถัมภ์ข้าไว้ในอาณัติอย่างจริงจัง มิเช่นนั้นหากรอให้อายุสิบขวบ หากเริ่มต้นเรียนรู้มีครูเฉกเช่นศิษย์ผู้อื่นที่หลั่งไหลมาฝากตัว ข้าหวาดกลัวว่าจะด้อยกว่า... พวกเขาอาจมีบ้านให้กลับ แต่บ้านของข้าคือที่นี่ สกุลหลานมีแต่ผู้เก่งกาจ ดังนั้นเพื่อให้เหมาะสม ข้าต้องลับคมความสามารถให้โดดเด่นเพียงพอ

...หวังเพียงแค่คาดผ้าลายเมฆาครามบนหน้าผากอย่างเต็มภาคภูมิ สมกับสกุลหลานที่นำหน้าชื่อจิ่งอี๋เท่านั้นเอง...



 จนกระทั่งวันหนึ่งท่านประมุขหลานก็จับสังเกตได้


“จิ่งอี๋” เสียงกังวานเรียกข้าให้ชะงักมือที่กำลังยกถังใบหนัก โงนเงนเอนเทน้ำลงกะละมังล้างหน้าภายในห้องท่านฉี่เหริน ข้าผินหน้ามองท่านอาวุโสตามเสียงเรียก ร่างของชายวัยกลางคนในชุดนอนสีขาวไร้ผ้าคาด เดินผละจากต่างนอนด้านในมานั่งลงกลางพื้นห้อง พลางตบพื้นตรงหน้าเรียกข้าให้ไปหา ข้ารีบวางถังน้ำก่อนจะเดินไปนั่งตรงหน้าท่านอาวุโสอย่างว่าง่าย และความคาดเดาไม่ออกว่าเพราะเหตุใดเขาถึงเรียกข้า

“ขอรับ?”

“ข้าได้ยินว่าพักหลังเจ้าเอาแต่อยู่ในหอตำราหรือ” คำถามนั้นทำให้ข้าหลุบตาทอดต่ำมองมือของตัวเอง ก่อนจะยอมรับเสียงเบา “ขอรับ”

ฝ่ามือใหญ่กร้านยกลูบเคราดำยาวเหยียด ข้าได้ยินเสียงสูดหายใจแรงๆ ก่อนท่านหลานฉี่เหรินจะหันไปหยิบกระดาษเรียวยาวสีเหลืองใบหนึ่ง แล้วว่างลงตรงหน้าข้าช้าๆ “เจ้ารู้หรือไม่ ว่านี่คืออะไร”

“ทราบขอรับ มันคือ...ยันต์เพลิง”ข้าตอบเสียงอ่อยแผ่ว จะไม่ให้ข้ารู้ได้อย่างไรเล่า! ก็ข้าพึ่งหัดเขียนและลองฝึกใช้มันตามตำราเมื่อวานก่อน แล้วนี่มันมันมาอยู่ในมือท่านหลานฉี่เหรินได้อย่างไร

...โดนตำหนิแน่...

ข้ากวาดตาเลิกลั่กหลุบต่ำ กำมือเหนือหน้าตักแน่น เตรียมพร้อมรับคำตำหนิ ข้ารู้ดีว่าอายุเช่นข้ายังไม่อนุญาตให้ใช้ยันต์ หรืออาวุธเครื่องมือพลังปราณใดๆทั้งนั้น อีกทั้งการใช้ยันต์เพลิงไม่ระมัดระวังอาจก่อให้เกิดเพลิงไหม้ได้ และแบบนี้ไม่ต้องเดาให้มากความ ท่านหลานฉี่เหรินต้องหาว่าข้าแก่แดดแก่ลมหัวล้านเกินครู ริอาจรู้ลองใช้ยันต์เล่ย จนอาจเป็นเหตุทำให้หอตำราเกิดเพลิงไหม้แน่ๆ

“จิ่งอี๋...”

“คะ คะ...ขอรับ!?”

“ลองเขียนยันต์นี่จากปัญญาของเจ้า แล้วใช้ให้ข้าดูทีสิ”คำสั่งนั้นทำให้ข้านึกฉงนอยู่ครู่หนึ่ง แต่ด้วยความเป็นผู้น้อยและยังคงหวาดกลัวเรื่องโทษทัณฑ์อยู่ ทำให้ข้าเลือกที่จะรับกระดาษและพู่กันจากประมุขสำนักกูซูหลานที่ยืนมาตรงหน้าอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ ข้าเหลือบตามองแววตาลุ่มลึกที่ล้อมกรอบด้วยด้วยริ้วรอยแห่งกาลเวลาอย่างประเมินท่าที ก่อนสูดลมหายใจเรียกขวัญตัวเอง พลางหลับตานึกถึงลวดลายตามตำราที่เคยอ่าน เมื่อมั่นใจแล้วก็ยกพู่กันชุมหมึก ลากเขียนด้วยความมั่นคงไม่ลังเล

หลานฉี่เหรินลูบเคราของตน พรางจ้องมองร่างของเด็กน้อยในอาภรณ์สีขาว คูตัวขดเป็นก้อนบนพื้น ค้อมลงเพื่อตวัดมือเล็กๆที่ถือพู่กัน ลากวาดเขียนสัญลักษณ์ยันบนกระดาษที่ตนให้ด้วยแววตาเผยความแปลกใจและชื่นชม วิถีกลายเส้นที่หนักแน่น ไม่มีลังเล ถอดอักษรยันต์จากต้นแบบได้อย่างไม่ผิดพลาด ในขณะที่เด็กสี่ขวบในวันเดียวกันคงยังจับพู่กันได้ไม่แน่นเลยกระมัง

...อายุเพียงเท่านี้ก็เผยความยอดเยี่ยมได้อย่างน่าชื่นชม...

หลานจิ่งอี๋เป็นผู้ที่อายุน้อยที่สุดในบรรดาผู้ใช้นามสกุลหลาน ผู้นำพาเขาเข้ามาและมอบสกุลหลานให้ใช้ พร้อมตั้งนามใหม่ว่า ‘จิ่งอี๋’ คือท่านอาวุโสหลานหลวนเล่อ ผู้มีตำแหน่งเป็นถึงปรึกษาของประมุขกูซูหลานถึงสองรุ่นก่อนหน้า และอยู่เป็นที่ปรึกษาให้หลานฉี่เหรินราวสามปีเศษ 

ทว่า...เพียงแค่สามเดือนหลังจากท่านนำเด็กน้อยจิ่งอี๋มาฟูมฟักเลี้ยงดู ท่านหลานหลวนเล่อก็ได้เอ่ยคำสั่งเสียสุดท้ายแก่เขาว่า ให้เลี้ยงดูอบรมสั่งสอนหลานจิ่งอี๋ในฐานะศิษย์ในสกุล ไม่ว่าจะอย่างไรก็ห้ามขับไล่หรือยึดสกุลหลานคืนโดยเด็ดขาด ก่อนจะตายจากไปด้วยความชราภาพอย่างสงบในค่ำคืนหนึ่ง พร้อมกับอดีตของเด็กน้อยจิ่งอี๋ที่ยังเป็นความลับดำมืดไร้ผู้ใดล่วงรู้ที่มาที่ไป

แต่เนื่องจาก ณ ตอนนั้น เรื่องราวของเว่ยอู๋เซี่ยนผู้เข้าสู่สายมารไม่อาจทนทานควบคุมพลังได้ก็ปะทุกขึ้นมาพอดี ทำให้การหมอบหมายหน้าที่ดูแลหลานจิ่งอี๋ตกเป็นเรื่องไม่สำคัญ เขาเพียงบัญชาสั้นๆให้ศิษย์ช่วยกันดูแล ทว่าทุกคนต่างวุ่นวายกับการเตรียมรับมือสะกดปรมาจารย์อี๋หลิง รวมทั้งความดื้อดึงของวั่งจีทำให้ทุกอย่างยุ่งเหยิงเป็นทวีคูณ 

แม้ว่าช่วงเวลาแห่งความโกลาหลสงบลงแล้ว เด็กเพียงอายุสี่ขวบผู้นี้ก็ถูกลืมเลือน การไม่มีใครสอดส่องดูแลใกล้ชิดก็ช่างอันตรายยิ่ง ตกน้ำตกท่าล้มป่วยไข้ในห้องหับใครเล่าจะสอดส่อง จวบจนได้ยินคำล่ำลือจากเล่าศิษย์ว่าที่หอตำรามีเด็กน้อยผู้หนึ่งไปวนเวียนใช้งาน อีกทั้งวั่งจีหลานชายคนรองของเขาก็เอ่ยปากถามถึงเด็กน้อยผู้นี้เจ็บป่วยหรือ เหตุใดถึงหายหน้าหายตาไม่มาดูแลกระต่ายเฉกเช่นกิจวัตรที่เคยกระทำ มันยิ่งตอกย้ำให้หลานฉี่เหรินจึงพึ่งตระหนักได้ว่าตนช่างบกพร่องในฐานะประมุขหลานเสียแล้ว

...คงต้องจัดหาคนดูแลสั่งสอน รวมทั้งเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันให้เสียที...

“จิ่งอี๋ เจ้--”

ฟูมมมม!!!

น้ำเสียงของประมุขหลานกลืนหาย ก่อนจะเบิกตามองลูกไฟสีฟ้าสว่างวาบเหนือปลายกระดาษ ไฟปราณก้อนนั้นลุกโหม มันสว่างจ้ามากพอที่จะทำสิ่งทุกสรรพสิ่งในห้องแห่งนี้เกิดเงาสีเข้มไหววูบตามจังหวะเริงระบำของเปลวเพลิง เปลือกตาสีงาช้างของเด็กน้อยที่นั่งตรงหน้าปิดดวงตาโตกลมแน่นิ่ง มือข้างหนึ่งคีบกระดาษยันต์ที่ลุกโหมไว้ อย่างตั้งมั่นเพ่งสมาธิ

...เด็กคนนี้ควบคุมพลังปราณได้แล้วหรือ!?...

เวลาผ่านไปสักพัก ลวดลายของยันต์นั้นเริ่มเลือนหาย พร้อมกระดาษที่ค่อยๆขึ้นสีน้ำตาล และถูกเผาเป็นควันสีเทาลอยเอื่อย ใบหน้าที่เรียบนิ่งคงสติเริ่มขมวดคิ้ว ก่อนดวงไฟที่แผดเผายันต์จะไหววูบรุนแรงและสะบัดหายลับไป ทิ้งไว้เพียงกระดาษไหม้เหลือครึ่งนึงเท่านั้นเอง

...เข้าใจแล้วว่าเหตุใด ท่านอาวุโสหลานหลวนเล่อถึงสั่งเสียแบบนั้น...

“จิ่งอี๋! ตามข้ามา” สิ้นน้ำเสียงบัญชาทรงอำนาจของประมุขหลานคนปัจจุบัน ทำให้เด็กน้อยที่พึ่งตื่นจากการสมาธิตั้งมั่นสะดุ้งโหยง ระหว่างที่ปากเล็กกำลังจะเอื้อนเอ่ยรับคำด้วยความตกใจ แต่ทว่าดวงตาโตคมก็เหลือบมองน้ำล้างหน้าในถังไม้ ที่ตนยังต้องรับผิดชอบนำไปจัดแจงเทแบ่งให้อาวุโสหลานอีกหลายท่าน ด้วยภาระหน้าที่ต้องจัดการ ทำให้เด็กน้อยผู้แข็งขันจึงเอ่ยกล่าวอย่างกล้าๆกลัวๆ “แต่...แต่ว่าข้า ยังต้อง...เอาน้ำล้างหน้าไปให้อีกอาวุโสคนอื่นอีกนะขอรับ”

หลานฉี่เหรินชะงักฝีเท้า ก่อนมองถังไม้มีน้ำอยู่ครึ่งถังใกล้กะละมังล้างหน้าของตนอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพรูหายใจถอดถอน “เช่นนั้นก็ไปทำให้แล้วเสร็จ แล้วไปรอข้าที่หอตำรา”

แม้ไม่เข้าใจความประสงค์ของประมุขหลานฉี่เหรินเท่าใดนัก แต่เด็กน้อยแห่งสกุลหลานก็พยักหน้าขานรับแต่โดยดี พร้อมกับร่างของเจ้าสำนักกูซูหลานแห่งนี้เดินมุ่งตรงไปที่ห้องของหลานชายคนรองอย่างเงียบงัน







【Part 1-จบ】
Next Part - (The End)


『หลานซือจุย 』 

“วั่งจี ข้าขอฝากจิ่งอี๋ด้วย”
“ข้ามีนามว่าหลานซือจุย แล้วเจ้าล่ะ”
“กระต่ายพวกนี้... มันคิดถึงเจ้า”
.
.
“มันก็ดีออกไม่ใช่หรือ...ที่เราเลือกวันใดก็ได้เป็นวันเกิดให้ตนเอง”
.
“สุขสันต์วันเกิด จิ่งอี๋
ของขวัญปีนี้ ข้าไม่มีอะไรมอบให้เจ้านอกจากคำสาบาน
ข้าขอสาบานว่า.....”


ติดตามพาร์ทจบได้...เร็วๆนี้



  • มุมคุยกันกับคนเขียน [ ที่คันปากอยากเล่ายิบๆ ]

หนูว่างพล็อตไว้ 2 ตอนจบ...จริงๆนะ
แต่หนูไม่มีเวลาเขียน 
เลยขอแปะครึ่งแรกให้ทัน Event วันเกิดจิ่งอี๋ก่อน
ส่วนพาร์ทสองครึ่งหลัง...จะมาเร็วๆนี้

หนูไม่เบี้ยวหรอก หนูสัญญาด้วยเกียรติของลูกเสือสำรอง!!!
อิอิ


Happy Birth Day นะ หลานจิ่งอี๋
ขอให้เป็นน้องน้อยของพวกพี่ๆ และเหล่าแม่ยกตัลลอดปายยย

#LanJingyiDay2K18   #蓝景仪1205生日快乐

Image result for lan jingyi gif





จะรีบไปไหนๆ ถ้าชอบและถูกใจ Fic เรื่องนี้ 
อย่าลืมส่งมอบคำติชม หรือให้กำลังใจ กับ Suky ได้ที่


『กล่อง Comment ด้านล่าง』
ไม่ต้องสมัคร/ลงทะเบียนให้วุ่นวาย พิมพ์ได้เลย! 

หรือ

หากท่านเล่นทวิตเตอร์ เมนชั่นคุยกันใต้ทวีตเรื่องนี้
คลิ๊กตัวอักษรสีฟ้าเลย

ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน Fic เรื่องนี้นะคะ อิอิ




ติดตามผลงาน Fic / นิยาย ของ Suky ได้ที่

============================
============================

ความคิดเห็น

  1. งื้อออ จิ่งอี๋น้อย น่ารักน่ากอดดดดด

    ตอบลบ
  2. ต่อออออออพาร์ท2เถอะๆๆ

    ตอบลบ
  3. ไม่ระบุชื่อ10 ตุลาคม 2562 เวลา 23:35

    มาต่อนะ รออยู่ๆๆๆ

    ตอบลบ
  4. ไม่ระบุชื่อ13 มกราคม 2565 เวลา 21:53

    ภาษาดีมาก สนุกมากๆ เลย เป็นกำลังใจให้คุณคนเขียนนะคะ รอมาต่อเสมอค่ะ��

    ตอบลบ

แสดงความคิดเห็น