Fic 魔道祖师 Mo Dao Zu Shi : Our Song

Title : Fic 魔道祖师 Mo Dao Zu Shi
Type : Dialogue  Fiction

Topic : Our Song

Pair : หลานซือจุย x หลานจิ่งอี๋


คำเตือน 
  • Fic เรื่องมีความเกี่ยวข้องกับความรักระหว่างเพศเดียวกัน หากมีทัศคติที่รับไม่ได้กรุณากดออก
คำชี้แจง

  • Fic เรื่องนี้ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเนื้อหาหลักใดๆ ของปรมาจารย์ลัทธิจารย์ Mo Dao Zu Shi 魔道祖师 ที่อาจารย์ Mo Xiang Tong Xiu เจ้าของผลงาน เป็นเพียงเรื่องสมมติที่จินตนาการมาจากความคิดผู้แต่ง
  • ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน Fic เรื่องนี้กันนะคะ ถ้าชอบอย่าลืมช่วยกันคอมเม้นท์ โหวต แชร์ ถูกใจ หรือติดตามเป็นกำลังใจให้แก่คนเขียนนะคะ
  • หากมีผิดพลาดประการใด ไม่ถูกใจท่านผู้อ่าน ต้องกราบขออภัยล่วงหน้าค่ะ
  • รักนักอ่านทุกท่านคะ


============================
============================






Our Song

หลานซือจุย x หลานจิ่งอี๋




Fic เรื่องนี้...
เป็นฟิคที่เข้าร่วมในกิจกรรม MDZSWeekly Challenge
Week #3 'Lullaby - เพลงกล่อมเด็ก'


*คำแนะนำ*
กรุณาอ่านใน Desktop ดีกว่า อ่านสบายตากว่า 
อีกอย่างจะได้เปิดเพลงใน Youtube ฟังไปด้วยค่ะ อิอิ


ผมชอบหลานซือจุย

ฮึ! มันดูตลกใช่ไหมล่ะ ที่อยู่ๆผมก็พูดอะไรแบบนี้
แต่ว่าคงไม่มีอะไรบอกเล่าได้ตรงกว่านี้แล้วล่ะ

ผมมีฝีปากที่เก่งกาจและร้ายเหลือ...
ไม่เชื่อถามจินหลิงเพื่อนที่แสนโอหังของผมก็ได้
แต่ว่า...พอต้องพูดเรื่องที่คิดในใจ...

ยิ่งเป็นเรื่องของซือจุย...ยิ่งทำได้แย่กว่ากว่าใคร และสิ่งใดๆที่เคยทำมา...

น่าตลกสิ้นดี

ทั้งๆที่ผมสามารถโต้แย้งในเรื่องที่ผมไม่ชอบใจ ไม่เห็นดีงามได้แทบจะทันที
ทั้งๆที่ผมมีความเชื่อมั่นในตัวเอง และแรงขับเคลื่อนด้านความคิดไร้ขีดจำกัดขนาดนี้..
ทว่า...พออยู่ต่อหน้าเขา...พอเป็นเรื่องของซือจุยเมื่อไหร่ล่ะก็...
...ผมเหมือนคนๆหนึ่งที่รู้สึกไม่มีความพิเศษอะไรเลย..

ผม...สูญเสียเสียงที่จะพูดเรื่องที่อยู่ในใจ...ผมไม่สามารถสื่อสารสิ่งที่อยู่ในใจให้เขารู้ได้
ผมไม่มีความมั่นใจ แม้แต่จะมองเขาตรงๆ เพื่อให้เขารับรู้ตัวตนข้างในของผมด้วยซ้ำ
ยามผมอยู่ต่อหน้าหลานซือจุย...ผมเหมือนคนๆหนึ่งที่ไม่มีอะไรเลย

...ผมจึงได้แต่สงสัยเสมอมา...
เขาจะรู้ไหมนะ...ว่าผมต้องการเขา
เขาจะรู้ไหมนะ...ว่าผมคิดถึงเขา
เขาจะรู้ไหมนะ...ว่าผมยอมแลกทุกอย่างเพื่อให้ได้อยู่ข้างเขา...ขนาดไหน

ดังนั้นสิ่งที่จะทำให้ผมจะระบายความรู้สึกในใจไปสู่ซือจุยได้...มีแค่บทเพลง

ห้องของผมมืดสนิท...
ผมมองไปที่บานหน้าต่าง มีแสงไฟจากข้างนอกทอแสงขาวสาดเข้ามา
มันทะลุม่านสีขาวที่ลอยอ้อยอิ่งสะบัดเงาบางอย่างในห้องให้เคลื่อนไหว
ก่อนจะผุดลงย้ายตัวไปใช้มือแง้มม่านเล็กๆด้วยความระแวดระวัง
สอดส่องสายตา ผ่านกระจกหน้าต่างที่พร่ามัว...

หลานซือจุยนั่งอยู่ตรงนั้น... ที่เดิม... ตรงโต๊ะหนังสือข้างหน้าต่าง...
...บานตรงข้ามกับหน้าต่างห้องของผมพอดี

ดูเหมือนเขากำลังทำการบ้านคณิตศาสตร์
ซึ่งผมขอไว้ลอกเขาตอนคาบกลางวันดีจะดีกว่า
โอ้...อย่างพึ่งมองผมเป็นเด็กเลวนะ...แค่บางข้อเท่านั้นแหละน่า
ขอให้ผมได้มีเรื่องไปใกล้ชิดหลานซือจุยที่อยู่คนละห้องตอนพักเที่ยงบ้างเหอะ
ถึงแม้จะต้องทนฟังเสียงบ่นของคุณชายจินจนหูชาก็ยอม

อะแฮ่ม...เห็นแบบนี้ผมก็ติดอันดับท็อปเท็นไม่เคยพลาดน๊า
ลองถ้าพลาดสิ คุณปู่ได้สั่งให้ผมคัดอักษรโบราณจนมือหงิกแน่ๆเลย

ก็...นั่นแหละ...ปัญญาอ่อนดีใช่ไหมล่ะ
ม. ปลายแล้วแท้ๆ ปีหน้าก็ต้องเตรียมตัวเข้ามหาลัย...
แต่ดูผมสิ ขนาดคนที่ชอบยังต้องวางแผนหาเรื่องเข้าใกล้อยู่เลย

ผมผละจากหน้าต่าง ก่อนจะเปิดโคมไฟ
แสงสีส้มสลัวสว่างวาบ ขับไล่ความมืดมิดสีครามให้ร่นหาย
กระชากตลบผ้าที่คลุมปิดคีย์บอร์ดสีดำเครื่องโปรด ซึ่งคุณอาซีเฉินซื้อให้ในวันเกิดที่ผ่านมา
หยิบสมาร์ทโฟนใหม่เอี่ยมจากกระเป๋ากางเกงนอนขึ้นมา แล้วไล่เปิดหาคอร์ดเพลงที่ต้องการ

ผมไม่กล้าเปิดหน้าต่าง เพราะกลัวเขาจะรู้ว่าผมจงใจเล่นเพลงนี้ให้เขาฟัง
ผมไม่กล้าถลกม่าน เพราะกลัวที่จะพบว่า เขาทำหน้ายังไงเวลาได้ยินบทเพลงของผม

ผมทำแบบนี้แทบทุกวัน
แน่นอน ยามที่เขาเจอหน้าผม ซือจุยมักถามหรือคุยเรื่องเพลงที่ผมร้องในแต่ละคืนทุกครั้ง
ผมก็ตอบแค่ว่าฝึกร้องฝึกเล่นเพลงด้วยคีย์บอร์ดไปงั้นไม่มีอะไร
ซึ่งความจริงคือ... ใช่! ผมกำลังเล่นให้เขาฟัง

คืนนี้ก็เหมือนกัน... และบทเพลงที่ผมจะเล่นก็คือ...

[ A Thousand Miles ]
           
            เปิดฟังคลอไปด้วยได้ตรงนี้ๆ 

           

---------------------------------

แสงไฟ...หน้าต่างบานตรงข้ามกับหน้าต่างห้องของผม...ยังมีแสงไฟสลัว
ผมละมือที่กำลังขีดเขียนแก้สมการแสนน่าปวดหัวนั่น แล้วเอนตัวไหลพิงพนักเก้าอี้อย่างผ่อนคลาย
มองเงาตะคุ้มหลังม่านสีขาวที่ต้องแสงสลัวสีส้ม โดดเด่นท่ามกลางความมืดยามค่ำคืน
ช่วงเวลาที่ผมผ่อนคลาย...กำลังมา

เสียงสูงต่ำผลัดเปลี่ยนเป็นท่วงทำนองเรียบรื่น
...กีต้าร์?...
...นี่ คุณปู่ฉี่เหรินยอมซื้อกีต้าร์ให้จิ่งอี๋แล้วหรือ?...
...เดี๋ยว...ไม่...ไม่ใช่...เป็นเสียงกีต้าร์จากคีย์บอร์ดต่างหากล่ะ...

ผมหลับลงช้าๆ ก่อนเปิดหัวใจเงี่ยฟัง
เสียงหวานจางๆ เป็นเอกลักษณ์ขับขานคลอเสียงดนตรี
ล่องลอยผสานกับสายลมยามค่ำคืนแว่วมาต้องหู
ไม่ได้น่ารำคาญ ไม่ได้เสียงดัง หรือแผ่วค่อยจนเกินไป

ผมปลดปล่อยตัวเองจากภาระหน้าที่ แล้วล่องลอยไปกับบทเพลงของยามค่ำคืนนี้
อยากรู้จริง...ว่าวันนี้ ....หลานจิ่งอี๋จะขับกล่อมเพลงอะไรให้ผมฟัง...


           Making my way downtown… walking fast… 
           ออกเดินทางไปยังตัวเมือง... ด้วยความเร่งรีบ... 
           Faces pass… and I'm home bound…
           ผ่านผู้คนมากหน้าหลายตา... และผมก็ได้เหยียบบ้าน


...หืม? A Thousand Miles ?...


           Staring blankly ahead... just making my way… 
           มองไปข้างหน้าอย่างไรจุดหมาย... แค่ตั้งหน้าตั้งตาออกเดินทาง... 
           Making a way… through the crowd
           หาทางเดินต่อไปเรื่อย... ผ่านผู้คนมากมาย


ทำนองเพลงและเสียงร้องผ่านหูทำให้ผมครุ่นคิด
ผมไม่ใช่เซียนเพลงนัก...
แต่ใช่ว่า จะไม่รู้จักเพลงในเพลย์ลิสที่หลานจิ่งอี๋ชื่นชอบ

...ผมรู้...หากเป็นเรื่องของหลานจิ่งอี๋ ผมรู้ราวกับเป็นเรื่องของตัวเอง...

นี่คือเพลง A Thousand Miles ทำนองของวง ONE OK ROCK…
หนึ่งในเพลงที่หลานจิ่งอี๋ ญาติสกุ]หลานและเพื่อนบ้านของผมชอบฟัง

...และเขา...มักจะร้องเพลงต่างๆที่ชอบให้ผมฟัง...เสมอมา...


           And I need you
           และผมต้องการคุณ
           And I miss you
           และผมคิดถึงคุณ
           And now… I wonder
           และตอนนี้... ผมสงสัยเหลือเกินว่า...


เสียงเพลงอ่อนหวาน ดำเนินมาเรื่อยๆ
น้ำเสียงแหบหวานลากยาวเคล้าดนตรีตรงคำว่า Wonder นั้น..
มันทำให้ผมสงสัยเช่นกัน

...จิ่งอี๋ต้องการใครกันนะ?...
...จิ่งอี๋คิดถึงใครนะ?...

ฮึ...มันดูน่าตลกใช่ไหมล่ะ ที่ผมคิดเป็นตุเป็นตะขนาดนี้
เขาอาจจะแค่หยิบเพลงนี้มาร้องสนุกๆก็ได้
เขาแค่อาจจะพึงพอใจที่จะร้องเพลงนี้เป็นการบังเอิญก็ได้

ถ้าคุณคิดเพียงเท่านั้นล่ะก็... คุณนั่นแหละที่คิดเป็นตุเป็นตะไปเอง
เพราะคุณไม่รู้จักหลานจิ่งอี๋ดี... เท่าผมยังไงล่ะ


           If I could fall…into the sky
           หากผมสามารถโบยบิน...ไปในท้องฟ้าได้ละก็
           Do you think time….would pass me by
           คุณจะคิดบ้างไหม ว่าเรื่องแบบนั้น...ผมกล้าที่จะปล่อยมันผ่านไป
           'Cause you know I'd walk a thousand miles
           เพราะคุณก็รู้หนิ ว่าผมแม้ยอมแม้แต่กระทั่งเดินทางเป็นพันๆไมล์
           If I could just see you…
           หากแค่เพียงได้พบคุณ..
           Tonight
           ในคืนนี้


ผมผละจากโต๊ะเขียนหนังสือ
ปล่อยการบ้านคณิตศาสตร์แสนน่าเบื่อหน่าย
ทรุดตัวเอนหลังลงกับเตียงนอนที่คุ้นเคย
เงี่ยฟังเสียงเพลงต่อไป...
หลับตาลงช้าๆ รำลึกถึงความหมายของบทเพลงที่เสียงแหบหวานยังคงขับร้องดังก้องกังวาน
เพื่อที่จะพยายามเข้าใจ จิตใจของหลานจิ่งอี๋ที่ขับร้องและบรรเลงเพลง

จิ่งอี๋ไม่เคยร้องเพลงพร่ำเพรื่อ
เขามักจะร้องเพลงที่สื่อความนัยในสิ่งที่ตนกำลังคิด ณ ตอนนั้นออกมา
ความในใจ... ที่กล่าวออกมาอย่างลึกซึ้งไม่ได้

ผมรู้ดี


           It's always times like these… when I think of you
           มันมักเป็นอย่างนี้เสมอ... เวลาผมคิดถึงคุณ
           And I wonder… if you ever… think of me
           และผมก็สงสัยว่า... คุณเคยที่จะ... คิดเกี่ยวผมบ้างไหม?
           'Cause everything's so wrong and I don't belong…
           เพราะทุกๆอย่างมันชอบที่จะผิดพลาด อีกทั้งผมก็ไม่คู่ควร...
           Living in your… precious memories
           ที่จะมีตัวตนอยู่ใน... ความทรงจำแสนสวยงามของคุณ


ใครกันนะ...ที่ช่างโชคดีขนาดนี้
ใครกันนะ...ที่จิ่งอี๋เฝ้าคิดถึงและสงสัย
เธอคนนั้นช่างทำให้ในใจผมมีแต่ความอิจฉาจนแทบมอดไหม้
ใครกันนะที่ทำให้คนแสนวิเศษของผม กล้าบอกว่าไม่คู่ควรแม้แต่จะอยู่ในความทรงจำ

ถ้าคนๆนั้นเป็นผม...ผมจะไม่ปล่อยให้จิ่งอี๋สงสัยเดียวดายแน่อนอน
ถ้าโชคชะตา... ยอมให้คนๆนั้นของจิ่งอี๋เป็นผม... ล่ะก็นะ

ผมรักจิ่งอี๋
ใช่...ผมใช้คำว่ารัก...
ผมไม่ได้แค่ชอบ ไม่ได้แค่หลงใหล

ผม-รัก-เขา

คนอื่นมักบอกว่าผมยังเด็กเกินไปที่จะพูดแบบนี้
หนทางยังอีกยาวไกล.. จิ่งอี๋อาจจะไม่ใช่คนที่ใช่ของผมก็ได้

อืม...ก็มีเหตุผล

แต่ผมก็มีตัวอย่างรักแรกพบเป็นตัวเป็นตน 
ให้ได้ศรัทธา และเชื่อมั่นว่า...
ความรู้สึกในตอนนี้ คือความรัก
และผมกับเขาสามารถที่จะเคียงคู่ยืนยงข้างกันได้... หากจิ่งอี๋ยินยอมและต้องการ

...นั่นก็คือ พ่อใหญ่กับพ่อรองผมเอง...

ใช่ พ่อทั้งคู่
พ่อใหญ่เป็น ลูกชายคนเล็กของพี่ชายของหลานฉี่เหริน... 
หรืออีกนัยหนึ่งคือ ปู่ของจิ่งอี๋ เป็นลุงของพ่อใหญ่

ส่วนพ่อรอง เป็นลูกชายบุญธรรมของบ้านสกุลเจียง... 
หรืออีกนัยหนึ่ง เป็นน้าชายบุญธรรมของจินหลิง

อาจดูวุ่นวายไปเสียหน่อย... แต่ก็ช่างมันเถอะ

ประเด็นคือ ท่านทั้งสองสูญเสียพ่อแม่แท้จริงไปทั้งคู่...
พวกท่านจึงรับผมมาเลี้ยงดู และเลี้ยงผมมาอย่างเข้าใจ

อือฮึ....ผมเป็นเด็กที่ถูกรับเลี้ยงจากบ้านเด็กกำพร้า
ชื่อแซ่เดิม คือ เวินเยวี่ยน... ต่อมาถูกรับเลี้ยงจึงเปลี่ยนเป็น หลานซือจุย
พ่อใหญ่ของผม หลานวั่งจี เป็นคนตั้งให้
แต่พ่อรองของผม เว่ยอู๋เซี่ยน ชอบเรียกผมว่า อาเยวี่ยน ดังเดิม

พ่อทั้งสองของผมพบรักกันตอนอายุเท่าผมนี่แหละ
พ่อใหญ่ตอนเมามักเล่าให้ผมฟังเสมอว่า... พ่อรองวิเศษขนาดไหน
ไม่ใช่การพรรณนาเกินจริง สำหรับผมและพ่อใหญ่ พ่อรองคือคนที่แสนวิเศษจริงๆ
ทั้งสดใส อบอุ่น รู้สึกได้รับการเยียวยาพักพิง...เหมือนดวงอาทิตย์เลยล่ะ
ต่างจากพ่อใหญ่ ที่สุขขุม นุ่มลึก เหมือนมหาสมุทรกว้างใหญ่

...แต่จะเหมือนน้ำในแก้วของพ่อรองทันใด เมื่อพ่อใหญ่เมา...


           'Cause you know I'd walk a thousand miles
           เพราะคุณก็รู้หนิ ว่าผมแม้ยอมแม้แต่กระทั่งเดินทางเป็นพันๆไมล์
           If I could just see you…
           หากแค่เพียงได้พบคุณ...
           Tonight
           ในคืนนี้


เพลงจบแล้ว...
เสียงหวานแหบของจิ่งอี๋เงียบไปแล้ว...
แต่ไฟในห้องยังไม่ปิดลง
...เขายังไม่นอน...

จิ่งอี๋กำลังเจ็บปวดอยู่รึเปล่านะ
ผมรู้...ว่าจิ่งอี๋พูดความในใจไม่เก่ง
ผมจึงอยากรู้จริงๆว่าเขาหรืเธอคนนั้นเป็นใคร...

ผมจะได้...ไปบอกเขาว่าไปไกลๆ อยู่ให้ห่างจากหลานจิ่งอี๋ของผมสักที!!
แล้วทีนี้...ผมจะได้ครอบครองเขาไว้เป็นของผมแต่เพียงผู้เดียว

หึ...ผมมันน่าสมเพช
จิ่งอี๋ สดใส กล้าหาญ เชื่อมั่นในตัวเอง โดดเด่นท่ามกลางผู้คนที่ล้อมรอบมากมาย

ผมก็แค่บังเอิญมีโชคชะตา ที่เป็นคนแซ่หลานเหมือนกัน
จึงสนิทสนมเลี้ยงดูคู่กันมาตั้งแต่ถูกรับเลี้ยง
ผมก็แค่โชคดี ที่พ่อรองพ่อใหญ่สร้างบ้านใกล้เรือนเคียงกับบ้านสกุลหลานของพ่อใหญ่

แต่ผมไม่อาจครอบครองสายตาของจิ่งอี๋ไว้ได้สักที
ยามที่ผมพยายามจ้องดวงตาโตคมของจิ่งอี๋อย่างตรงไปตรงมา
เขากลับเสออกไม่ยอมสบตากลับเลยแม้แต่ครั้งเดียว

ผมควรทำยังไงดี...
ผมจะสื่อสิ่งที่อยู่ในใจนี่ให้เขารับรู้ได้ยังไง

...เพลง?...
ผมร้องเพลงไม่เก่งเท่าไหร่
เรื่องดนตรี...นอกจากกู่ฉินกับขลุ่ยที่พวกพ่อสอนให้ก็ไม่มีอะไรสันทัดถนัดมือ

...ผมจะทำอย่างไรดี...

ขณะที่ผมกำลังคิดไม่ตก พร้อมตวัดขาก้าวลงจากเตียง
หวังกลับไปหันหน้าสู่การเรียน แล้วทำการบ้านที่ค้างอยู่
ฉับพลันสายตาผมก็เห็นอะไรบางอย่างที่นอนอยู่บนหลังตู้
พร้อมกับอยู่ๆ บทสนทนาเมื่อนานมาแล้วก็ลอยขึ้นมา...

“พ่อใหญ่ พ่อจีบพ่อรองยังไงเหรอครับ?”
“เล่นกีต้าร์”
“เอ๊ะ? พ่อเล่นกีต้าร์เป็นด้วยเหรอฮะ?”
“อืม ไม่ต่างจากกู่ฉิน”
“งั้นพ่อสอนเล่นได้ไหมฮะ ผมอยากเล่นกีต้าร์เป็น”
“อืม งั้นพ่อจะสอนเล่น...”

-----------------------

ผมมองคีย์บอร์ดก่อนจะแสยะยิ้ม...
เพลงจบไปแล้ว...แล้วเอาไงต่อ
นั่งเบลอเหม่อลอยชั่วครู่  พร้อมถูไถนิ้วลงบนโทรศัพท์เล่นสักพัก
ก่อนจะมองเวลาตรงหัวมุม
จะเที่ยงคืนแล้ว...ผมควรล้มตัวลงนอนสักที...

...ใช่...ผมควรเลิกฟุ้งซ่านแล้วล้มตัวลงนอนสักที...

ผมลุกขึ้น แล้วโถมตัวลงนอนคว่ำกับเตียง
เสียงแอร์เพื่อนยากสร้างความเย็นเยียบ ครางเคล้าหูจางๆราวกับกล่อมฝัน
ผมยกมือปัดป่ายปิดสวิตซ์โคมไฟด้วยความเงียบงัน
หลังจากนั้นก็พลิกตัวนอนหงายมองฝ้าเพดาน จนสายตาเข้าที่เข้าทางมองฝ่าความมืดอย่างคุ้นชิน

ฉับพลัน หูของผมก็ได้ยินสูงต่ำของเครื่องสายบรรเลงสะเปะสะปะไม่หยุดนิ่งจนต้องขมวดคิ้วอย่างไตร่ตรอง
...ใครเล่นกีต้าร์?...
ผมผุดลุก หลับตาค้นหาต้นเสียง
ก่อนจะพุ่งตรงไปที่หน้าต่าง ยกมือกระฉากผ้าม่านเล็กน้อยแล้วลอบมอง

...หลานซือจุยเล่นกีต้าร์!?... อาเยวี่ยนคนนั้นกำลังเล่นกีต้าร์!?...

ร่างสูงประครองกีต้าร์ไว้ในมือ
ดูก็รู้ว่ามือใหม่พอดู... แต่กระนั้นก็ดูทะมัดทะแม่งเอาการเอางาน
เหมือนเขากำลังจูนสายอยู่ พร้อมกับถือผ้าเช็ดทำความสะอาด

...ผมไม่เห็นรู้ว่าอาเยวี่ยนมีกีต้าร์...

รึว่า!?

“พ่อใหญ่ของฉันเคยเล่นกีต้าร์นะ”
...ของคุณอาวั่งจีงั้นหรือ!?

ผมเห็นเขาใส่หูฟัง ก่อนจะตั้งโทรศัพท์บนโต๊ะเขียนหนังสือ
ดวงตาเรียวคมจ้องมองที่หน้าจอมือถือ ก่อนยกไมค์สมอลทอล์คขึ้นมา

...เขากำลังพูดอะไร?...คุยกับใครน่ะ...
ใจของผมวุ่นวายไปหมด ข้อสันนิษฐานผุดพรายราวกับแจ้งเตือนที่ไม่หยุดนิ่ง
และการคาดเดาข้อหนึ่งทำให้ผมผละมืองจากม่าน
ก่อนยืนจมกับความคิดท่ามกลางความมืดในก้องนอน
ฟังเสียงกีต้าร์และเสียงเพลงไม่ได้ศัพท์แผ่วจาง

...หลานซือจุย...อาเยวี่ยน...มีแฟนแล้ว?...

ผมเดินเอื่อยไปที่เตียงอีกครั้ง
ก่อนมุดลงใต้ผ้าห่มผืนหนา แล้วพร่ำบอกตัวเองว่าเลิกเพ้อเจ้อสักที พรุ่งนี้ค่อยถามเขาตรงๆ
...เอายังไงดี...พรุ่งนี้ จะถามอาเยวี่ยนว่ายังไง...

“ซือจุยนายมีแฟนแล้วเหรอ?”
...ไม่ๆๆๆ
“ซือจุย เมื่อคืนฉันเห็นนายเล่นกีต้าร์อัดคลิปส่งให้ใครน่ะ?”
...เดี๋ยว! เราปิดม่านอยู่นะโว้ย ถ้าไปบอกว่าเห็นเขาทำอย่างนั้น ก็ปล่อยไก่กันพอดีน่ะสิ
“ซือจุย เมื่อคืนนายได้ยินเสียงอะไรก๊องๆแก๊งๆไหม ทำเอาฉันนอนไหมหลับเลย”
น่าจะได้...ซะที่ไหนล่ะ เรามันก็ตัวทำเสียงก๊องแก๊งๆร้องเพลงตอนกลางคืนนี่หว่า 
จะไปพูดลอยหน้าลอยตาแบบนั้นได้ยังไงกันเล่า!!

หรือว่าจะ...

ติ๊ง!

เสียงแหลมสูง พร้อมกับโทรศัพท์ของผมสว่างวาบ
ผมลบเลือนความคิดต่างๆ แล้วกระโจนคว้าหมับ ปลดล็อคหน้าจอมือถือ
นอกจากจินหลิงแล้ว มีเพียงคนเดียวที่ผมเปิดแจ้งเตือนแบบ push แม้แต่ตอนกลางคืน
ดึกดื่นขนาดนี้ใครส่งอะไรมากัน?

...และชื่อแอคเคาท์แชทที่มีข้อความเข้านั้นคือของ...ซือจุย!?...

มือเรียวของผมรีบสัมผัสเข้าไปที่ห้องแชท
ข้อความด้านซ้ายมือล่างสุด มีคลิปวิดิโอหนึ่งเด่นหลา
ความยาวราวสองนาทีครึ่ง พร้อมภาพของหลานซือจุยกำลังถือกีต้าร์
มันทำให้ผมขมวดคิ้ว ผุดลุกขึ้นแล้วเอี้ยวตัวไปหยิบหูฟังจากลิ้นชักหัวเตียง
จัดการเส้นสายที่พันกันมุ่นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเสียบเข้าหัวแจ็คเข้าโทรศัพท์อย่างคุ้นชิน

ถอนหายใจ และตั้งสมาธิให้นิ่ง แล้วทำการกด ปุ่ม Play
ภาพเริ่มขยับ เด็กหนุ่มร่างสูงแสนหล่อเหลา และชาญฉลาดเป็นที่รักของครูบาอาจารย์
รวมถึงเป็นที่ชื่นชมของเพื่อนนักเรียนต่างๆกำลังส่งรอยยิ้มมาให้ผม

เพียงเสี้ยววินาทีหลังจากดูวิดีโอนี่จบลง
ผมไม่เคยคิดเลย ว่าวิดีโอสองนาทีครึ่งที่อาเยวี่ยนส่งมา
จะทำให้ชีวิตเขาและผม เปลี่ยนไป...ตลอดกาล
ใช่...ตลอดกาล



“ เอ่อ...เทสต์ๆ ฮัลโหลๆ เอิ่ม...สวัสดีจิ่งอี๋!
พอดี เมื่อกี้...ไม่สิถ้านายเห็นข้อความนี้คงตอนเช้าแล้วสินะ ต้องใช้คำว่าเมื่อคืนใช่มั้ย?

เมื่อกี้ เอ้ย เมื่อคืน... ฉันได้ยินนายร้องเพลงแล้ว... แบบ...ฉันค่อนข้างเป็นห่วงนายน่ะ
ฉันรู้ว่านายชอบร้องเพลงเพื่อระบายความในใจ...แล้วก็...ว่าไงดี คือ... ฉันอาจจะคิดไปเองก็ได้ แหะๆ
แต่...ความหมายของเพลง AThousand Miles…ใช่ไหมนะ? แหะๆ ...มันทำให้ฉันรู้สึกห่วงว่า นายกำลังเศร้าอยู่รึเปล่า

คือ...ว่าไงดีล่ะ ฉันเลยอยากให้นายฟังเพลงเพลงหนึ่งน่ะ ฉัน...ฉันอยากให้นายฟังจริงๆนะ
มันเป็นเพลงเก่าแล้ว...เก่ามาก...นายอาจจะไม่รู้จัก
เพลงนี้ พ่อใหญ่สอนฉันมาน่ะ... ฉันก็พอร้องพอเล่นได้ถูๆไถๆ
เอ่อ... ฉันไม่เก่งดนตรีแบบนาย ห่างหายมานาน 
มาเล่นให้นายฟังแบบนี้...ก็ออกจะเขินๆเหมือนกันนะ ฮ่าๆ

เพราะฉะนั้นต่อให้นายรู้สึก...เอ่อ...อนาถ..หรือขำขนาดไหน... ฉันขอให้นายฟังให้จบนะ!
แล้วก็...อย่าล้อฉัน...หรือไปเล่าให้จินหลิงฟังล่ะ แหะๆ ฉันขอร้อง

คือ... ฉัน... ฉันจะเล่นแหละนะ มันเป็นทำนองของ Joseph Vincent
อาจไม่เพราะสักเท่าไหร่ แต่ฉันอยากให้นายฟังนะ จิ่งอี๋!

เพลงของฉัน...เพลงเดียวที่ฉันเล่นได้... มันมีชื่อว่า..

[ Can't Take My Eyes off You ]

          ▼ เปิดฟังคลอไปด้วยได้ตรงนี้ๆ ▼

           


           You're just too good to be true
           คุณช่างงดงามโดยแท้จริง
           I can't take my eyes off you
           ผมไม่อาจละสายตาจากคุณได้เลย
           You'd be like heaven to touch
           คุณทำให้ผมรู้สึกว่าสวรรค์อยู่แค่เอื้อมนี่เอง
           I wanna hold you so much
           ผมน่ะ อยากกอดคุณมากๆเลย


           At long last love has arrived
           อย่างกับรักแท้นี้มันเกิดขึ้นมานานแล้ว
           And I thank God I'm alive
           และผมรู้สึกขอบคุณพระเจ้ามากที่ให้ผมมีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้
           You're just too good to be true
           คุณคือสิ่งที่เยี่ยมยอดโดยแท้จริง
           Can't take my eyes off you
           ผมล่ะละสายตาจากคุณไม่ได้เลย


           Pardon the way that I stare
           ขอโทษนะ ที่ผมเอาแต่จ้องคุณแบบนั้น
           There's nothing else to compare
           แต่ไม่มีอะไรมาดึงดูดสายตาผมได้เหมือนคุณเลย
           The sight of you leaves me weak
           สายตาของคุณทำให้ผมอ่อนไหว
           There are no words left to speak
           หาคำไหนมาบรรยายไม่ได้เลย


           But if you feel like I feel
           ทว่า...ถ้าคุณรู้สึกเหมือนที่ผมรู้สึกล่ะก็...
           Please let me know that is real
           โปรดบอกผมทีเถอะ ว่ามันคือเรื่องจริง
           You're just too good to be true
           คุณคือสิ่งที่สวยงามมากๆจริงๆ
           I can't take my eyes off you
           จนผมละสายตาจากคุณ...ไม่ได้เลย


           I need you baby
           ผมอยากได้คุณเหลือเกิน ที่รัก
           And if it's quite all right
           และถ้านี่คือเรื่องจริงล่ะก็..
           I need you baby
           ผมต้องการคุณ คนดี
           To warm the lonely nights
           เพื่อมาทำให้คืนแสนเหงาหงอยอบอุ่นขึ้นมา
           I love you baby
           ผมรักคุณ ที่รัก


           Trust in me when I say
           เชื่อในสิ่งที่ผมพูดเถอะนะ
           Oh pretty baby
           โอ้ คนน่ารักของผม
           Don't bring me down I pray
           อย่าทำให้ผมผิดหวังเลยนะ ขอเถอะ
           

           Oh pretty baby
           โอ้ คนดี
           Now that I've found you, stay..
           ตอนนี้ผมได้พบคุณแล้ว ได้โปรดช่วยอยู่ตรงนี้..
           And let me love you, baby
           และให้ผมได้รักคุณเถอะ ที่รัก
           Let me love you
           ให้ผมได้รักคุณ


เสียงกีตาร์ในคลิปวิดีโอหยุดลง
ดวงตาเรียวคมสุกไสคู่นั้นหันมาจ้องผม...ผ่านหน้าจอ
อีกไม่นานจะถึงจุดสิ้นสุดวิดีโอ...
ทว่าบอกหยักศกของเขากลับขยับเขยื้อน แล้วเอ่ยหนึ่งคำด้วยใบหน้าที่ผมหลงรักมานาน


“ฉันรักนาย จิ่งอี๋”


ค่ำคืนนั้นผมหลับไม่ลง
เฝ้ารอให้รุ่งสางมาเยือน
พร้อมกับคลิปวิดีโอที่หมุนวน จนโทรศัพท์ไม่เหลือแบตสักเปอร์เซ็น
.
.
.
แม้กระทั่งวันนี้... วันที่นิ้วนางข้างซ้ายของผมสวมแหวนทองคำขาว
แบบเดียวกับมือเรียวใหญ่ที่โอบไหล่ของผมไปอิงแอบ...บนเตียงเดียวกัน
พร้อมกับเสียงทุ้มบ่นพร่ำอย่างอ่อนใจ
“จิ่งอี๋ ดูทุกวันแบบนี้ไม่เบื่อหรือไง?”
“ไม่อ่ะ ทำไม? อายหรือไง หืม...”

ผมช้อนตามองคนที่กำลังเช็ดผมเปียกชื้น
ใบหน้าหล่อเหลา และดวงตาคมหันหลบพรืด อย่างรวดเร็ว
ก่อนจะพูดตะกุกตะกัก ด้วยหูแดงก่ำ...น่าแกล้งอย่างละอาย
“ก็...ตอนนั้นฉัน...เล่นแย่จะตายไป”

“ใช่! ร้องก็เพี้ยน เสียงกีต้าร์ก็แปรงๆ ให้หมาๆของจินหลิงหอนยังเพราะกว่าอีก”
ผมพูดประชดเหย้าแหย่... เรียกให้ใบหน้าคมหงิกงอ

“ก็อัดให้ใหม่ตั้งหลายคลิป จิ่งอี๋ไม่ดูเองหนิ ดูแต่อันนี้ เห็นไหม... ภาพแตกจนใบหน้าหล่อๆของฉันไม่เหลือชิ้นดีแล้ว”
“แหวะ!
ผมทำหน้าเลี่ยนใส่คนที่ชมตัวเองได้ไม่อายปากอย่างหยอกล้อ
ก่อนเราทั้งสองจะหัวเราะไปด้วยกัน

“ฮ่าๆๆๆ นึกยังไงถึงชมตัวเองตอนเด็กเนี่ย”
ผมกลั้วหัวเราะ เอ่ยถามเขาพรางยกนิ้วปราดน้ำตาหยดเล็กๆ
“ก็จิ่งอี๋ทำไมถึงดูซ้ำไปซ้ำมาก่อนนอนทุกคืน ร้องก็เพี้ยน เสียงก็แปรง แสดงว่าที่จิ่งอี๋ชอบคลิปนี้... เพราะตอนนั้นฉันหล่อมากๆล่ะสิ... ใช่ไหมล่ะ”
“หลงตัวเองน่ะนาย”
ผมพูดปัด ก่อนจะสัมผัสถึงจมูกโด่งของซือจุยกดลงเหนือกระหม่อมเบาๆ

“นี่...จิ่งอี๋ไม่เคยบอกเหตุผลเลยนะว่าทำไมต้องดูคลิปนี้ก่อนนอนทุกคืน”
“หึ...เป็นถึงอาจารย์สอนฟิสิกส์ เรื่องแค่นี้ทำไมไม่หาคำตอบเอาเองล่ะครับ... ศาตราจารย์หลาน”
“ก็เพราะคุณเป็นสมการที่ต่อให้นักวิทยาศาสตร์ทั้งโลกมารวมหัวกันแก้...
ก็แก้ไม่ได้ไงล่ะครับ คุณหลานจิ่งอี๋”

คำพูดนั้นทำให้ผมแย้มยิ้มบางๆ พรางเอนตัวพิงร่างสูงเต็มที่ 
ปิดโทรศัพท์ แล้วโยนมันไปไว้ข้างหมอน
ก่อนจะช้อนตามองเจ้าของมือใหญ่ที่ยกมือมาสางผมของผมเบาๆอย่างรู้ความ
“ง่วงแล้วเหรอ?”
“อืม”

“คืนนี้ ไม่ทราบว่าองค์จิ่งอี๋อยากให้อาเยวี่ยนผู้นี้ร้องเพลงอะไรขอรับ?”
คำถามเชิงล้อนั้น ทำให้ผมยกยิ้มบางๆ แล้วหลับตาช้าๆ ทอดตัวให้ไหลนอนอย่างผ่อนคลาย
ก่อนจะบอกคำตอบที่แสนตายตัวเบาๆ



Can't Take My Eyes off You










【จบ】


จะรีบไปไหนๆ ถ้าชอบและถูกใจ Fic เรื่องนี้ 
อย่าลืมส่งมอบคำติชม หรือให้กำลังใจ กับ Suky ได้ที่


『กล่อง Comment ด้านล่าง』
ไม่ต้องสมัคร/ลงทะเบียนให้วุ่นวาย พิมพ์ได้เลย! 

หรือ

หากท่านเล่นทวิตเตอร์ เมนชั่นคุยกันใต้ทวีตเรื่องนี้
คลิ๊กตัวอักษรสีฟ้าเลย

ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน Fic เรื่องนี้นะคะ อิอิ




ติดตามผลงาน Fic / นิยาย ของ Suky ได้ที่

============================
============================




  • มุมคุยกันกับคนเขียน [ ที่คันปากอยากเล่ายิบๆ ]

ʕ◉ᴥ◉ʔ
รุ่นลูกยังขนาดนี้
อีตาพี่วั่งที่สอนซือจุยเล่น
จะหวานขนาดไหนนะ


ซือจุย : ซันเจี่ยไหมขอรับ?



วั่งจี : ชงความหวานได้ดีมาก...ซือจุย
สมแล้วที่ข้าสอนเจ้ากับมือ




ความคิดเห็น

  1. ทําไมน่ารักแบบนี้ TT ชอบที่ทั้งคู่แสดงความรักผ่านเสียงเพลงกันมากๆค่ะ

    ตอบลบ

แสดงความคิดเห็น