Fic 魔道祖师 Mo Dao Zu Shi : มหรสพ ความวุ่นวายแห่งสกุลเจียง 4/??
Title : Fic 魔道祖师 Mo Dao Zu Shi
Type : Parody Fiction
Topic : มหรสพ ความวุ่นวายแห่งสกุลเจียง
Chapter : 4/??
คำเตือน
- Fic เรื่องมีความเกี่ยวข้องกับความรักระหว่างเพศเดียวกัน หากมีทัศคติที่รับไม่ได้กรุณากดออก
- Fic เรื่องนี้ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเนื้อหาหลักใดๆ ของปรมาจารย์ลัทธิจารย์ Mo Dao Zu Shi 魔道祖师 ที่อาจารย์ Mo Xiang Tong Xiu เจ้าของผลงาน เป็นเพียงเรื่องสมมติที่จินตนาการมาจากความคิดผู้แต่ง
- ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน Fic เรื่องนี้กันนะคะ ถ้าชอบอย่าลืมช่วยกันคอมเม้นท์ โหวต แชร์ ถูกใจ หรือติดตามเป็นกำลังใจให้แก่คนเขียนนะคะ
- หากมีผิดพลาดประการใด ไม่ถูกใจท่านผู้อ่าน ต้องกราบขออภัยล่วงหน้าค่ะ
- รักนักอ่านทุกท่านคะ
============================
============================
มหรสพ ความวุ่นวายแห่งสกุลเจียง
ตอนที่ 4 : สมานฉันท์
ท้องน้ำปรกคลุมไปด้วยเหล่าดอกบัวช่อใหญ่ชูตระงานท้าแดดยามสาย
โยกเยกไปมาเมื่อต้องลมหอบใหญ่หวนสะพัดแหวกผ่านท้องน้ำ เคลื่อนผ่านปะทะม่านมู่ลี่ลายบงกชเก้ากลีบสีม่วงให้สั่นไหวสะท้าน
ผสานกับเสียงฝีเท้าก้าวเดินเล็กๆตีคู่กับร่างสูงผู้ครองสำนักเซียนอวิ๋นเมิงเจียง
ที่กำลังจ้ำอ้าวบนเฉลี่ยงทางเดิน มือใหญ่กอมกุมมือเล็กจูงเดินด้วยความระมัดระวัง ขณะที่เว่ยอิงสอดส่องสายตามองอาคารไม้ยิ่งใหญ่
มีเฉลียงทอดยาวบนผืนน้ำที่ชื่อว่าเหลียนฮวาอู้ด้วยหัวใจที่รู้สึกโหวงเหวงอย่างไม่คุ้นเคยพิกล
…แปลกตา...ไม่รู้จัก...
สองคำนี้ลอยวนอยู่ในมโนสำนักของเด็กน้อย
ผู้กำลังก้าวเดินไปพร้อมกับเจียงเฟิงเหมียน ในขณะเดียวกันดวงตาเรียวคมของประมุขแห่งสำนักเจียงก็ลอบมองดวงหน้าที่มีแก้มยุ้ยที่กำลังสอดส่องทอดมองบ้านของตน
ด้วยสาตากึ่งระแวงเช่นกัน แม้จะคลี่ยิ้มเมตตาอยู่ก็ตาม
แต่หัวคิ้วของชายหนุ่มกลับขมวดมุ่นไม่เป็นทรง
...เหตุใดอาเซี่ยนถึงกลายเป็นเช่นนี้ได้กัน...
คำถามนี้ต้องการคำตอบ! เจียงเฟิงเหมียนจัดตั้งกลุ่มสืบสวนลับด้วยความเอาแต่ใจเป็นที่ตั้งครั้งแรกในรอบหลายปี
ให้ศิษย์มากฝีมือในสำนักเสาะหาคำตอบเรื่องนี้ โดยเฉพาะข่าวลือเรื่องเทพยดาในป่าไผ่ให้กระจ่างว่าจริงเท็จเพียงใด
แล้วทำอย่างไรที่ทำให้เอาเซี่ยนกลับคืนสภาพเดิม
...หากนี่เป็นพรที่เทพยาดาไผ่องค์นั้นประทานแก่เว่ยอิงจริงๆแล้วล่ะก็...ค่าตอบแทนที่ต้องจ่าย...มันเท่าไหร่กัน...
...และเหตุการณ์เกี่ยวพันกับลมหายใจของอาเซี่ยนหรือไม่...
…แล้วหากมิใช่พร แต่เป็นคำสาปจะทำอย่างไรต่อไปดี...
ความร้อนลุ่มใจกับคำตอบที่ยังไม่คลี่คลายนี้
ทำให้ชายหนุ่มบัญชาสั่งการกลุ่มสืบสวนลับดำเนินงานทั้งกลางวันและกลางคืน
ยกความสำคัญเทียบเท่ากับการฝึกซ้อมสอดแนม เพื่อป้องกันศัตรูรุกรานท่าเรือสัตบงกชเลยทีเดียว
“อรุณสวัสดิ์ท่านประมุข”เสียงเรียกของศิษย์ในสำนักผู้หนึ่งกล่าวขาน
เจียงเฟิงเหมียนหลุดจากภวังค์ ละสายตาจากเด็กน้อยข้างตัวแล้วมองกลุ่มเด็กหนุ่มใต้บังคับบัญชาสามคนที่ผ่านทางมา
แล้วหยุดค้อมหัวทำความเคารพทักทาย ชายหนุ่มผงกหัวแย้มยิ้มรับ ปั้นหน้าตาไมตรีอย่างปกติทันใด
ก่อนจะรู้สึกถึงความหนักอึ้งที่ถ่วงขาไว้จนยากจะก้าวเดิน พอก้มมองก็เห็นร่างเล็กในชุดสำนักอวิ๋นเมิงเกาะขาซุกหน้าตนแน่นจนแทบจะหลอมรวมกัน
โดยเหล่าศิษย์พวกนั้นต่างจ้องมองไปที่ร่างเด็กน้อยอย่างไม่วางตา สับกับการมองหน้ากันเลิ่กลักด้วยสายตาใคร่ถามอยากรู้
จนกระทั้งมีศิษย์ผู้หนึ่งไม่อาจทนเก็บคำถามไว้ได้ จึงเอ่ยปากอย่างตรงไปตรงมาทันใด “ท่านประมุข...เด็กคนนี้คือ...”
“หลานข้า มาจากสายสกุลรองน่ะ ฝากเลี้ยงชั่วคราว
เอ้า!...อาอิง ทักทายพวกพี่ชายหน่อยสิ”สิ้นคำร่างสูงของประมุขเจียงก็ย่อตัวลง
แล้วแงะเด็กน้อยให้เผยใบหน้าจากขาของตน แล้วใช้มือใหญ่ดันไหล่เด็กน้อยหมายพลิกตัวเจ้าก้อนแป้งสีขาว
ให้หันประจันหน้ากับเหล่าชายหนุ่มได้พิศมองเต็มตา ดวงตาโตคมรับแก้มยุ้ยขาวนวลช้อนขึ้น
แล้วตวัดกวาดมองสะท้อนภาพเหล่าศิษย์สำนักเจียงทั้งสาม ไม่นานนักปากบุ่ยสีงามจิ้มลิ้มก็แย้มขยับ
ขานเสียงสวัสดี แล้วหันไปเกาะเอวของเจียงเฟิงเหมียนที่ทรุดนั่งคุกเข่าข้างหนึ่งด้วยความรู้สึกแปลกหน้า
แกมไม่มั่นคง “อรุณสวัสดิ์ฮะ”
ฉับพลันเหล่าศิษย์อวิ๋นเมิงทั้งามนั้น
ก็รู้สึกเสียดอกดั่งโดนศรแห่งความน่ารักเสียบทะลุกายอย่างไม่ทันตั้งตัว!
“อาอิง เจ้ายังไม่คำนับเหล่าพี่ชายเลยนะ”เฟิงเหมียนกระซิบบอกเด็กน้อยถึงมารยาทที่ผู้เยาว์ควรกระทำกับผู้ใหญ่
แต่คราวนี้เจ้าตัวเล็กกลับเกาะหนึบแนบตัวแน่นกับขาแกร่งของท่านประมุขมากกว่าเดิม เจ้าของขาเห็นดังนั้นก็พยายามสะกิด
และแงะตัวเว่ยอิงน้อยแสนขี้กลัวอยู่พักหนึ่ง แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่สำเร็จดังปรารถนา จึงได้แต่แย้มยิ้มแก้ขัดก่อนตวัดแขนโอบกอดร่างเล็กขึ้นมาแนบอกฝังหัวลงบนบ่าตน
เว่ยอิงที่กำลังขัดเขินหวาดระแวงคนแปลกหน้าจึงซุกใบหน้าลงม สูดกลิ่นไอจางๆจากสาบเสื้อของผู้ใหญ่
ที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นมั่นคงดั่งบิดา พรางเงี่ยฟังวาจาทุ้มเอ่ยพูดคุยกับเหล่าชายแปลกหน้าโดยไม่หันมอง
“ขอโทษนะ เขาค่อนข้างตื่นคนน่ะ”
“ไม่เป็นไรขอรับ พวกข้าเป็นคนแปลกหน้าจะหวาดกลัวก็ไม่แปลก”ศิษย์ที่เปิดปากถามกล่าวอย่างเข้าใจ
ก่อนจะยกมือทั้งสองโบกไปมาผสานกับท่าทีเกรงใจ รีบบอกปัดว่าไม่ติดใจ ไม่เอาความกับคำขอโทษของนายเหนือบัญชาอย่างรวดเร็ว
ในตอนนั้นเองศิษย์อีกคนที่ก็อ้าปากถามความสงสัยอีกข้อ “แล้ว...สกุลของเด็กคนนี้เล่าขอรับ?”
คำถามนั้นทำเอาผู้ฟังลอบเหงื่อตก
ภายใต้ใบ้หน้าคมที่แย้มยิ้มรู้สึกคิดไม่ตกกับคำถามเมื่อครู่นี้ หากบอกไปว่าแซ่เว่ย
เรื่องที่เว่ยอิงกลายเป็นเด็กคงแพร่สะพัดออกไปทันที สายสืบลับที่ตนส่งออกไปคงเฟ้นหา
‘เทพยดาป่าไผ่’ คงทำงานได้ยากกว่าเดิมน่าดู อีกทั้งยิ่งชาวบ้านได้รับรู้คงกล่าวขานเรื่องเล่าลือไม่มีความจริงให้ได้สับสน
สาวต้นตอได้ยากยิ่งกว่าเดิม...
...เอาอย่างไรดี...
“พวกเจ้ามายืนทำอะไรตรงนี้!? ไม่รีบไปลานฝึกหรืออย่างไร!”เสียงหวานทรงอำนาจแหวกอากาศต้องสติให้ศิษย์ทั้งสามสะดุ้งโหยง ก่อนทุกสายตาจะพุ่งเป้า
หันมองร่างระหงสวยสง่าสาวเท้าเดินผ่านโถงเฉลียงมุ่งตรงมาหา ศิษย์ทั้งสามต่างค้อมหัวทำความเคารพก่อนหันตัวรีบสาวเท้าจากลา
มุ่งตรงไปยังลานฝึกเพื่อร่ำเรียนยุทธ์ตามเวลาประจำวัน ส่วนอวี๋ฟูเหรินผู้เต็มเปรี่ยมไปด้วยอำนาจนั้นทอดมองแผ่นหลังเหล่าเด็กหนุ่ม
ด้วยความเหนื่อยหน่ายใจ
“ขอบใจ ซานเหนียง”เสียงทุ้มกล่าวขอบใจคู่ครองตรงหน้าสั้นๆ
เรียกใบหน้าแสนสวยดุดันตวัดหันสามีของตน ผู้กำลังโอบอุ้มเจ้าก้อนหมั่นโถวตัวจ้อย
ก่อนปากงามจะอ้าออกเอ่ยตำหนิชายหนุ่ม ผู้กระทำไม่คิดหน้าหลังระวังความ “ถึงว่าล่ะ...
ทำไมบ่าวไพร่ศิษย์ในสำนักถึงต่างพูดคุยกันให้เลื่องลือหนาหูถึงเจ้าหนูนี่ มท่านพูดเองไม่ใช่หรือไรว่าไม่อยากให้เป็นที่กล่าวขานสงสัย
แล้วท่านเอาเขามาเดินหอบเร่แสดงตนอาดๆเช่นนี้ได้อย่างไร... เกิดเจอใครซักไซร้เช่นเมื่อครู่ท่านจะตอบไปว่าอย่างไรกัน
เหตุใดไม่ให้เขาอยู่ในห้องที่ข้าจัดสรรให้เล่า”
“ซานเหนียง อย่าคิดมาก ต่อให้กระทำลับตาคนเพียงไร
แต่พวกเราสุกลเจียงต่างเข้าออกห้องนั้นบ่อยครั้ง ก็ย่อมเป็นที่สงสัยธรรมดา... อีกอย่างยามนี้อาเฉิงต้องฝึกยุทธ์
ส่วนอาลี่ก็เดินทาง เด็กคนนี้ไม่กี่ขวบจะให้อยู่ในห้องหับอุดอู้ไร้คนดูแลได้อย่างไร?”
“เช่นนั้นท่านก็ช่วยทำให้มันรัดกุมหน่อยได้หรือไม่
ข้าคร้านที่จะมาตอบคำถามเหล่าคนขี้สงสัยในจวน อีกอย่าง...เจ้าหนู! ผู้ใหญ่เดินมาเหตุใดถึงไม่กล่าวทักทาย เอาแต่ซุกหน้าหลีกหนีเช่นนี้
จะเรียกว่าลูกผู้ชายได้อย่างไรกัน!” ไม่ว่าเปล่า มือเรียวยาวของอวี๋จื่อเยวี่ยนยื่นออกไปหมายจะฉวยร่างเล็กในอ้อมอกของเฟิงเหมียนให้หันมอง
ทว่าคนโอบอุ้มกลับไหวตัวทันก่อนเบี่ยงหลบกั้นมือของภรรยาย “ซานเหนียง เจ้าใช้น้ำเสียงแบบนั้นอาอิงจะยิ่งกลัวเจ้านะ”
“กลัวอะไรกัน! เลี้ยงอาเฉิงมาข้าก็ใช้น้ำเสียงแบบนี้
ส่งเขามานี่! สามขวบแล้วแข้งขาย่อมแข็ง เดินเหินเองได้ ใยต้องโอบอุ้มกัน”อวี๋ฟูเหรินผู้ไม่เห็นด้วยกับการประคบประหงมเอาใจเจ้าก้อนขาวเกินไป
ปรี่พุ่งเข้าหา หมายยื่นมือคว้าเอาร่างเว่ยอิงมาไว้ในครอบครอง เด็กน้อยผู้ที่เหลือบมองนายหญิงแสนน่ากลัวรีบผินหน้าหลบซุกอกคนโอบอุ้มราวกับอยากจะผสานรวมเป็นหนึ่ง
ขณะที่เจียงเฟิงเหมียนเห็นท่าว่าไม่ดีก็เบี่ยงตัวกั้น กำบังเว่ยอิงจากภรรยา
ไหล่หนากะทบกับมือเรียวที่พุ่งตรงมาเบนวิถี
ดวงตาโตคมของเด็กน้อยมองเล็บแหลมคมใต้สีสันโฉบมาหาราวกับงู เมื่อรู้ว่ายังไงก็หลบคมเล็บไม่พ้นจึงเปลือกตาก็หลับลงตามสัญชาตญาณ
สะบัดหน้าหนีคาดหวังให้พ้นทางไม่โดนคมเจาะเบ้าตาของตน ทว่าหันหนีอย่างไร ชั่วลมหายใจสั้นนี้
เว่ยอิงก็ไม่อาจหนีเล็บยาวของหญิงสาวพ้น แม้ไม่กระสวกตาโตคม แต่ก็บาดเข้าที่แก้มสีขาวกระจ่างใส
จนขึ้นรอยแดงเป็นเส้นริ้วเลือดไหลซิบชัดเจน เมื่อความเจ็บแสบเริ่มแผลงฤทธิ์ นัยน์ตาของเด็กน้อยก็ระรื่นไปด้วยม่านน้ำตา
ไม่นานนักเสียงสะอื้นก็แปรเปลี่ยนเป็นแผดร้องดังจ้า ทำเอาผู้ใหญ่ทั้งสองถึงกับผงะด้วยกัน
“ฮึก...แง๊~~”
“ชู่วววว อาอิง โอ๋~~ อย่างร้องนะ เด็กดีๆ”คุณพ่อลูกสองรับมือสถานการณ์ด้วยความว่องไว
อวี๋ฟูเหรินมองสามีกระชับเว่ยอิงในอก แล้วใช้มือใหญ่ลูบหลังเจ้าก้อนหมั่นโถวอย่างปลอบใจ
ก่อนขยับตัวถอยห่างร่างของอวี๋ฟูเหรินผู้ได้สติมองผลงานของตน ดวงหน้ากลมมนเริ่มขึ้นสีแดงจางๆเพราะใช้แรงในกายเปล่งเสียงร้องไห้อย่างสุดตัว
หญิงสาวผู้แม้มีลูกมาแล้วสองคนได้แต่ตระหนกค้าง ตระหนักกับความคิดตนว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ได้กัน
...แม้เป็นคนเดียวกัน แต่เด็กที่เธอเจอครั้งแรกนั้นคือเว่ยอู๋เซี่ยนตอนแปดปี
ผู้ถูกโชคชะตาทดสอบมานานัปการ..
...ไม่ใช่อาอิงน้อยสามขวบ
ผู้รู้จักเพียงอ้อมกอดของบิดามารดา ไม่เคยพบกับโชคชะตาโหดร้ายทารุณ...
“เว่ยอู๋เซี่ยน! เจ้าเป็นศิษย์เอก เหตุใดประพฤติตัวเลวเป๋ว
ไม่บำเพ็ญตบะ ฝึกกระบี่ ออกไปเที่ยวเล่นไม่ฝึกตนเช่นนี้ห๊ะ! คุกเข่าอยู่เยี่ยงนั้นไปสิบชั่วยาม
งดข้าวงดน้ำ ห้ามหยุดพัก ใครหน้าไหนกล้าช่วยเหลือข้าจะลงโทษให้หนักเช่นเดียวกัน!”
แม้จะด่าทอสั่งลงโทษหนักเพียงนั้น
เว่ยอู๋เซี่ยนในวัยเยาว์ที่นายหญิงแห่งท่าเรือสัตตบงกชจดำจำได้ก็ยิ้มแห้งๆรับพรางรับโทษอย่างไม่อิดออดน้อยใจต่อความ...
...แต่นี้คือเด็กน้อยผู้อ่อนต่อโลกอายุเพียงสามขวบเท่านั้น...อวี๋ฟูเหรินจะทำอย่างไรดี?
หญิงสาวมองสามีพยายามโยกตัว เอ่ยปลอบประโลมชี้นั่นนี่เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ
ศักดิ์ศรีคุณแม่ลูกสองเป็นเดิมพัน!
หากเธอไม่สามารถทำให้เว่ยอิงในอ้อมกอดของเจียงเฟิงเหมียนหยุดร้องไม่ได้นั้น
ยัยฉางเซ่อต้องบนสวรรค์ต้องหัวเราะเยาะแสยะยิ้มสะใจเป็นแน่นอน
…เฮ้อ.....
ดวงตาของหญิงสาวมองดูชายหนุ่มที่ยกมือชี้ไปยังกลางเหลียนฮวาอู้
ภายใต้อาณาเขตของสำนักเซียนอวิ๋นเมิง ชี้ชวนพรางกระซิบกับเว่ยอิงน้อย ให้สนใจวิหคสีขาวที่ร่อนถลาลงมากลางทะเลสาบโพ้นตาอย่างสง่างาม
“อาอิง ดูนั่นๆ เห็นไหมนกกระสาตัวใหญ่ไง สวัสดีเจ้านกกระสาหน่อยเร็ว~~”
“...ฮึก..ฮรือ...” เสียงร้องไห้แผดจ้าเสียดหูบรรเทาลง
ดวงตาโตกลมช้ำแดงเพ่งมองเหล่านกกระสาตามมือของผู้ใหญ่ ท่าทางหยึกยักหาปลาของมันเรียกความสนใจจากเว่ยอิงน้อยไว้
แต่กระนั้นเสียงสะอื้นยังคงดังต่อไป พร้อมกับหยาดน้ำตาที่ไหลลื่นอาบแก้มยุ้ยขาวดังหมั่นโถวเนื้อดี
ชั่วครู่เจ้านกกระสาก็บินหนีจากลา เฟิงเหมียนจึงรีบอุปโลกน์แก้ต่างให้เด็กน้อยเจ้าน้ำตาฟังด้วยน้ำคำหลอกลวง
พร้อมกับยกมือใหญ่ขึ้นปาดน้ำตาบนแก้มนุ่มทั้งสองเบาๆ “ชู่วววว เห็นไหม เจ้าร้องไห้แบบนี้ไง
นกกระสาถึงหนีไป เพราะฉะนั้นอาอิงหยุดร้องเถอะนะ”
ทว่าวาจาโป้ปดนั้นกลับเรียกเสียงแผดร้องไห้จ้าให้สะท้อนก้องทั่วผิวน้ำที่เอ่อปริ่มเฉลียงโดยรอบ
หนักกว่าครั้งที่แล้วดังขึ้นอีกครา
“ฮรือ...นกกระสา...นกกระสาเกลียดอาอิง”
...เหมือนที่ท่านพ่อท่านแม่ทิ้งอาอิงไว้ที่นี่ใช่หรือไม่...
“โธ่ ใยเจ้าถึงร้องไห้นักกว่าเดิมเล่า”
เจียงเฟิงเหมียนกล่าวอย่างเหนื่อยใจ พรางทรุดนั่งตรงขอบระเบียงกั้นเฉลียงและสระบัว
ตบหลังเด็กน้อยเบาๆพรางโยกตัว มองเด็กน้อยในอ้อมกอดแผดเสียงร้องโดยไม่รู้จะแก้ไขสถานการณ์อย่างไร
ทว่าอยู่เสียงแหลมสูงอะไรบางอย่างก็ดังขึ้นต้องหู
เรียกสายตาเรียวคมให้ผละจากหัวทุยที่แนบอก ก่อจจะหันไปพบรอยยิ้มงดงามของภรรยาที่ไม่ได้เห็นมาเนิ่นนาน
...บริสุทธิ์ งดงาม ดั่งดอกไม้ผลิแรกเริ่มฤดู...
กริ๊ง~
เสียงกังวานใสเปล่งเสียงสูง พัดพาเอาเสียงร้องไห้จ้าแห่งความทุกข์ให้จางหาย
ดวงตาโตกลมรับแก้มใสปราดมองปิ่นทองงดงามห้อยด้วยกระพรวนตรงปลาย ขยับเขยื้อนปล่อยเสียงสูงน่าสงสัยไม่อาจละสายตา
พร้อมรอยยิ้มแสนใจดีที่ทำให้หวนนึกถึงหน้ามารดากำลังจดจ้องมาที่ตน อวี๋ฟูเหรินค้อมตัวมองเด็กน้อยในอ้อมกอดสามีที่เงียบเสียง
พร้อมๆกับชายหนุ่มที่เอียงตัวโถมประครองเด็กน้อยในอกให้มองของสิ่งนั้นใกล้ๆ พรางกระซิบแผ่วเบาด้วยเสียงทุ้มใจดีเชิญชวนให้เพ่งพิศดู
“อาอิง ดูนี่สิ กริ๊งๆๆๆๆๆ”หญิงสาวปรับน้ำเสียงให้อ่อนหวาน
มือคู่งามตวัดแกว่งกระพรวนเล็กที่ห้อยย้อยปลายปิ่นล้ำค่าของนาง เฟิงเหมียนจ้องมองภาพที่แปลกตาไม่ได้เห็นเนิ่นนานด้วยสายตาล้ำลึกราวกับจะจากรึกภาพไว้ในใจ
รอยยิ้มจริงใจของชายหนุ่มก็คลี่ออกมาส่งมอบให้คนรักครั้งแรกในรอบหลายปี หลังจากผจญช่วงเวลาบาดหมางกันมาเนินนาน
อวี๋จื่อเยวี่ยนที่เหลือบมองแววตานั้นของชายหนุ่มผู้เป็นประมุขเจียง
ก่อนจะรีบเบี่ยงหน้าหลบเม้มริมฝีปากงามสะกดกลั้นอย่างเขินอาย พรางทำเป็นทรุดตัวเล่นกับเจ้าก้อนหมั่นโถวตากลมโตใสแจ๋วเพ่งมองสะท้อนภาพกายของนาง หมายพยายามเบี่ยงความคิดในใจตน
...อะไรกัน ไอ้รอยยิ้มกับสีหน้าแบบนั้น...เห็นข้าเป็นฉางเซ่อซานเหรินผู้นั้นหรืออย่างไร...
“อาอิง ข้าขอโทษนะ ที่ทำให้เจ้าเป็นแผล
มา...ไหนข้าขอดูใกล้หน่อยสิว่า มันเป็นอย่างไร” หยิงสาวยื่นปิ่นทองแสนสวยอันนั้นใส่มือใหญ่
ก่อนตวัดตามองเป็นสัญญาให้สามีถือล่อไว้ เพื่อให้ตนจะสำรวจแผลบนหน้าของเว่ยอิงถนัดตา
ชายหนุ่มจึงรับมาก่อนเพ่งมองสิ่งที่อยู่ในมือแล้วเลิกคิ้วแสดงความฉงนงงงัน
...นี่มันปิ่นที่ซานเหนียงได้จากมารดาตอนแต่งงานไม่ใช่หรือ...เป็นทรัพย์สินละเอียดละออที่แสนหวงแสนรัก
เหตุใดถึงยอมให้เด็กไม่รู้ความอย่างอาอิงสัมผัสเพ่งเล็งกัน...
แต่กระนั้นก่อนจะได้เอ่ยปากถามอะไร ประมุขเจียงต้องรีบส่งยิ้มอ่อนปลอบประโลมแก่ภรรยา
เมื่ออาอิงตัวน้อยกลับหันหน้าหลบมือเรียวของนาง โดยการซุกหน้าลงบนอกตน สองมือน้อยกำสาบเสื้อของผู้โอบอุ้ม
แล้วขยับเขยื้อนราวพยายามตะเกียกตะกายหนีเงื้อมือของหญิงสาวอย่างหวาดกลัว อวี๋ฟูเหรินเห็นท่าทางนั้นก็จนปัญญา
ลดมือลง ทอดมองเว่ยอิงน้อยแหกปากร้องเสียงอู้อี้ในอกของสามี
“เขายังไม่หายกลัวเจ้าน่ะ รออีกหน่อยเถอะ”ชายหนุ่มกล่าวอย่างปลอบใจ
พรางยื่นมือใหญ่ไปลูบแก้มหญิงสาวอย่างอ่อนโยน
การกระทำสัมผัสเนื้อตัวนั้นทำให้อวี๋จื่อเยวี่ยนรู้สึกไม่คุ้นชิน
ความเขินอายประดุจสาวแรกรุ่นตีตื้นกลับมา จนต้องผินหน้าหนีอย่างเขินอาย ดวงตาเรียวคมของฝ่ายชายทอดมองใบหน้างามขึ้นสี
พร้อมกับดวงตาคู่สวยหลุบมองพื้น ริมฝีปากแต่งแต้มสีสันเม้มเข้าหากันราวกับพยายามกลั้นยิ้มแห่งความเขิน
ไม่กล้าโวยวายเพราะกลัวอาอิงน้อยถอยหนีกว่าเดิม ซึ่งทำเจียงเฟิงเหมียนได้สัมผัสความรู้สึกในคืนวานตอนแต่งงานกันใหม่ๆหวนกลับมา
ก่อนจะเสใบหน้าคมมองท้องน้ำใกล้สุดลูกหูลูกตา แล้วกระแอ่มเตือน และเรียกสติตนว่าได้กระทำอะไรลงไป
แต่ร่างกายก็ช่างซื่อสัตว์ต่อใจ ใบหน้าคมขึ้นค่อยๆแต่งแต้มสีแดงเรื่อด้วยเช่นกัน
ภาพที่มองไกลๆประดุจทั้งสองกำลังเล่นบทเป็นชายโสด
พึ่งถูกโดนแตะต้องตัวหญิงสาวที่ยังอยู่ใต้อานัติผู้ใหญ่ยังไม่ออกเรือน...ทั้งๆที่มีพยานรักเติบใหญ่เป็นผู้เป็นคนแล้วถึงสองคน
…จะไม่ให้เขินอายได้อย่างไร...บาดหมางกันมาหลายปี...อยู่ดีๆมาสัมผัสกันเยี่ยงเป็นหนุ่มเป็นสาวเช่นนี้
จะไม่ให้รู้สึกเก้อเขิน...ก็คงเป็นเรื่องพิลึกพิกล...
“เช่นนั้น ข้า...ไปจากตรงนี้ดีกว่า...
เจ้าก้อนหมั่นโถวนี่จะได้หยุดร้องเสียที”ว่าเสร็จ นายหญิงแห่งอวิ๋นเมิงก็รีบผุดลุกเตรียมเดินหนีไป
ทว่ากลับถูกมือแกร่งรั้งไว้ด้วยมือข้างที่ถือปิ่นทองของนางส่งเสียงกังวาน
ดวงตาคู่งามใต้ความแดงซ่านเหลียวมองชั่วครู่ก่อนรีบคว้าของส่วนตัวจากมือผู้เป็นสามีแล้วกล่าวขอบคุณ
“ข้าลืม ขอบคุณ”
“เดี๋ยว! ซานเหนียง”
“อะ...อะไร” อวี๋ฟูเหรินผู้กำลังถูกความเขินอายครอบงำกล่าวตะกุกตะกัก
หันหลังไม่มองหน้าสามี ดวงตาคู่งามหลุบพื้นรอฟังคำชี้แจ้งถึงเหตุที่เรียกรั้ง แต่จู่ๆสัมผัสเบาๆเหมือนมีอะไรมาต้องกลางหลังต้องทำให้น้องสามจากตระกูลอวี๋หันกลับไปมอง
ภาพของชายหนุ่มที่นางหวังอยากครอบครองหัวใจ
กำลังแย้มยิ้มอย่างอบอุ่นส่งมาให้ พร้อมมือแกร่งข้างหนึ่งประครองแขนเล็กๆของเด็กน้อยที่เลิกร้องไห้ยื่นมาหานาง ตาโตกลมใสแจ๋วมีรอยแดงช้ำและคราบน้ำตาเพ่งมองสะท้อนภาพของนางราวกับคันฉ่อง
อย่างตรงไปตรงมา ก่อนจะรีบมุดหน้ากับบ่าแกร่งของผู้อุ้มด้วยท่าทีที่เหมือนกำลังเขินอาย
พอเสตาย้ายมามองสามีด้วบใบหน้าไตร่ถาม
มือใหญ่ที่สะบัดมือเล็กอย่างบงการตีไหล่นางเบาๆ
“หายกันแล้ว”
“เอ๊ะ?”
“อาอิง... เจ้าตีน้าหญิงคืนแล้ว
ถือว่าหายกันแล้วไม่ใช่หรือไม่?” เสียงทุ้มอ่อนโยน กระซิบถามเว่ยอิงน้อยทันใด ก่อนเจ้าหัวทุยเล็กๆที่มีเชือกสีแดงรัดผมหางมาจะขยับถูไถกับอกตน
เจียงเฟิงเหมียนกระตุกกายกระชับเด็กในอ้อมแขนของตน แล้วค้อมใบหน้าคมกล่าวล้อเด็กน้อยด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดี
“หากใช่ทำไมเจ้ายังหันหน้าหนี น้าหญิงคนงามอยู่อีกเล่า?”
...นะ...น้าหญิงคนงาม!?....
“เฟิงเหมียน! นี่ท่าน...”
“ชู่ววว อย่างขึ้นเสียงสิซานเหนียง
เดี๋ยวอาอิงตกใจนะ” คำเตือนนั้นทำให้หญิงสาวผู้รู้สึกอยากจะฟาดจื่อเตี้ยนระบายความเขินอายแล้ววิ่งหนีไปให้รู้แล้วรู้รอดหุบปากฉับ
ก่อนยืนมองสามีผู้มีรอยยิ้มใจดีกำลังเคลื่อนตัวเข้ามาชิดใกล้
ทันใดนั้นเจ้าก้อนในอ้อมอกก็ถูกส่งมาหานางอย่างว่องไว แขนเรียวจึงรีบตวัดรับไว้
อย่างกลัวเว่ยอิงน้อยจะร่วงตกสู่พื้นจนเกิดแผลขึ้นมาด้วยตื่นตระหนกไม่พร้อมรับมือ “ดะ
เดี๋ยว เฟิงเหมียน...”
แต่ไม่ทันแล้ว
ร่างเจ้าก้อนหมั่วโถวแสนขี้แงถูกอวี๋ฟูเหรินโอบอุ้มโดยสมบูรณ์ พอก้มมองใบหน้ากลมรับแก้มยุ้ยอ้าปากหาวคล้ายง่วงนอน
เอนอิงพิงไหล่ออเซาะ พรางเกาะสาบเสื้อของของตนไว้แน่น ทำให้น้องสามแห่งสกุลอวี๋ไม่อาจพูดอันใดต่อได้
ความรู้สึกเหมือนตอนอุ้มเจียงเฉิงแนบอกแล้วกล่อมนอนกลางวันหวนคืนมาทันใด
เจียงเฟิงเหมียนลอบมองใบหน้าที่ขึงขังเป็นนิจแย้มยิ้มละไม
แล้วยกมือลูบหัวเด็กน้อยเบาๆ “หึ! ดูท่าทางจะไม่ได้กลัวข้าหรอก แค่งอแงเพราะง่วงนอนเท่านั้นเอง”
“เช่นนั้นหรือ? ข้าไม่รู้เลย”ชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงฉงน
ระคนชื่นชม ภาพของหญิงสาวที่มีท่าทีอ่อนหวานลงราวกับตอนที่เจอกันครั้งแรกในอดีตเนิ่นนาน
ทำให้หัวใจของเฟิงเหมียนชุ่มชื้นคล้ายต้นไม้ได้รับน้ำหลังจากแห้งเฉาเป็นแรมปี
...คิดดูดี ๆ เรื่องที่อาเซี่ยนเป็นเช่นนี้ก็ไม่ได้แย่เสียทั้งหมดทีเดียว...
“ท่านไม่เคยกล่อมเด็กเล็กนอนกลางวัน ไม่รู้ย่อมไม่แปลก”
นายหญิงผู้รู้สึกว่าตนกำลังกลับคืนสู่บทบาทเป็นแม่ในวันวาน ขานเอ่ยถึงเหตุผล
ก่อนลอบฝังจมูกลงบนหัวทุยที่อิงซบตน เปลือกตาสีงาช้างของร่างในอ้อมอกกำลังปรือได้ที่
ร่างระหงจึงโยกตนเบาๆ จนกระทั่งผู้เป็นสามีกล่าววาจาที่ทำให้นางสะดุ้งโหยงฉับพลัน ทำเอาเว่ยอิงลืมตาตื่นอย่างตกใจอีกครา
“แต่ข้าก็ชอบมองเจ้าตอนขานเพลงกล่อมอาลี่และอาเฉิงนอนนะ... ซานเหนียง”
“นี่ท่าน!”
“ฮึก แง๊~~”
“ซานเหนียง เจ้าทำอะไร เห็นหรือไม่อาอิงร้องไห้ใหญ่เลย”
“หุบปากท่านเสีย เฟิงเหมียน เขาเป็นแบบนี้เพราะท่านนั่นแหละ!”
“ใยมาโทษข้าได้เล่า โอ๋~~ อาอิง น้าหญิงของเจ้าน่ากลัวคล้ายยักษ์เลยใช่ไหมหรือไม่
มาๆ มาให้อาผู้นี้อุ้มแล้วกัน”
“ยะ ยักษ์งั้นเหรือ!? เฟิงเหมียน ไม่ต้องเลยนะท่าน! ส่งเขามา ข้าจะพาเขาไปนอนกลางวันที่ศาลากลางน้ำ”
“เดี๋ยว! ซานเหนียง...” เจียงเฟิงเหมียนร้องเรียกภรรยา ที่โฉบฉวยเจ้าก้อนน้อยอย่างถือสิทธิ์ยึดครองไปต่อหน้าต่อตา
แล้วสะบัดหน้าหมุนตัวโอบอุ้มอาเซี่ยนที่จนเลี้ยงดูมาจากไป ภาพนายใหญ่และนายหญิงเจ้าของท่าเรือสัตตบงกช
เดินเคียงคู่มีปากเสียงหยอกล้อกันระรื่นในเรื่องไม่เป็นเรื่องช่างดูแล้วแสนชื่นมื่นสดใส
และหาได้ยากยิ่งจนใครที่ผ่านมาต้องขยี้ตามอง
บรรยากาศไอรักแผ่กระจายทั่วจวนสกุลเจียง ดั่งกลิ่นหอมของบัวบานที่ลอยขจรเหนือทะเลสาบกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา
ร่างเล็กปรือมามองเหลียนฮวาอู้กว้างสุดหล้าฟ้า
ฟังแว่วเสียงน้าหญิงและอาชายที่กล่าวว่า ท่านพ่อและท่านแม่ฝากตัวเขาไว้ที่สำนักเซียนแห่งนี้แล้วออกไปทำภารกิจชั่วคราว
เสียงหยอกเหย้าต่อความแบ่งรับแบ่งสู้ นั้นปลอบเร้าใจของเด็กน้อยที่ว่างโหวงให้วาดฝันถึงบทสนาของท่านพ่อท่านแม่หยอกล้อกัน
เสียงร้องไห้จ้าค่อยๆเจือเบาเป็นเสียงสะอื้น โดยที่ดวงตาโตคมกำลังจ้องมองร่างร่างหนึ่ง
ของหญิงสาวในอาภรณ์งดงาม กายาของนางที่ล้อมรอบด้วยแสดงสีเขียวคล้ายหิ่งห้อยยามค่ำคืน
ไม่นานนักลมหอบหนึ่งก็พัดหวน พร้อมกับร่างระหงท่ามกลางเหล่าช่อบัวก็เลือนลางจางหายไป
เว่ยอิงสะอื้นไห้เคล้าเจือบทสนาหยอกล้อเอาใจของนายหญิงและนายใหญ่แห่งจวนอวิ๋นเมิงเจียง
แต่หูของอาอิงน้อยกลับได้ยินเพียงเสียงหนึ่งที่ลอยตามลมมา พร้อมกับใบหน้าแย้มยิ้มของหญิงสาวผู้จางหายไปเมื่อครู่ยังคงติดตราในความทรงจำ
“คุณชายเว่ย
ความปรารถนาของท่านจะสำเร็จหรือไม่
ขึ้นอยู่กับตัวท่านเอง
จงจำไว้”
【ตอนที่ 4 - จบ】
โปรดติดตาม ตอนต่อไป
จะรีบไปไหนๆ ถ้าชอบและถูกใจ Fic เรื่องนี้
อย่าลืมส่งมอบคำติชม หรือให้กำลังใจ กับ Suky ได้ที่
『กล่อง Comment ด้านล่าง』
ไม่ต้องสมัคร/ลงทะเบียนให้วุ่นวาย พิมพ์ได้เลย!
หรือ
หากท่านเล่นทวิตเตอร์ เมนชั่นคุยกันใต้ทวีตเรื่องนี้
คลิ๊กตัวอักษรสีฟ้าเลย
ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน Fic เรื่องนี้นะคะ อิอิ
ติดตามผลงาน Fic / นิยาย ของ Suky ได้ที่
หรือพี่เว่ยอยากให้ทุกคนกลับไปเป็นเหมือนเดิมหนอ
ตอบลบรออออออออออ
มาต่อเร็วๆได้ไหมอ่ะะ ชอบมากค่ะ อาเตี่ยกับอวี๋ฟูเฟรินน่ารักกก
ตอบลบอ๊าก~~~หนูรักครอบครัวนี้ รอคะสู้นะเออ
ตอบลบแง อยากอ่านต่อแล้ววววววววว
ตอบลบน่ารักอะไรขนาดนี้อะ น่ารักเกินไปแล้ว
ตอบลบรอเลยค่ะ สนุกมากเลย
น่ารักกกกก รอออออออออออออ มาต่อนะ
ตอบลบอาอิงน้อย น่ารัก เมื่อไหร่จะต่อ รอออออ
ตอบลบอ่านหลายรอบเลยนะคะ น่ารักกก รอมาต่ออยู่นร้าา
ตอบลบเมื่อไรจะมาต่ออ่าาา ไรท์ขาาา
ตอบลบชอบเรื่องนี้มากเลยฮะ;-; อาเซี่ยนน่าร้ากกก ฮรุก สู้ๆนะคับ!
ตอบลบมาต่อเร็วๆน้ารอนานมาก
ตอบลบมาอ่านอีกรอบแล้วค่าาา มาต่อนะคะ รออ่านอยู่เลย สนุกมากก
ตอบลบMcecabracne Heather Hodge click
ตอบลบrepergtiso
อยากกลืนน้อง น่ารักกรุบ
ตอบลบ