Fic 魔道祖师 Mo Dao Zu Shi : 玫瑰 - เหมยกุ้ย


Title : Fic 魔道祖师 Mo Dao Zu Shi
Type : Short Fiction

Topic : 玫瑰 - เหมยกุ้ย

Pair : หลานวั่งจี x เว่ยอู๋เซี่ยน
Rate : PG 13+

คำเตือน 
  • Fic เรื่องมีความเกี่ยวข้องกับความรักระหว่างเพศเดียวกัน หากมีทัศคติที่รับไม่ได้กรุณากดออก
คำชี้แจง

  • Fic เรื่องนี้ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเนื้อหาหลักใดๆ ของปรมาจารย์ลัทธิจารย์ Mo Dao Zu Shi 魔道祖师 ที่อาจารย์ Mo Xiang Tong Xiu เจ้าของผลงาน เป็นเพียงเรื่องสมมติที่จินตนาการมาจากความคิดผู้แต่ง
  • ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน Fic เรื่องนี้กันนะคะ ถ้าชอบอย่าลืมช่วยกันคอมเม้นท์ โหวต แชร์ ถูกใจ หรือติดตามเป็นกำลังใจให้แก่คนเขียนนะคะ
  • หากมีผิดพลาดประการใด ไม่ถูกใจท่านผู้อ่าน ต้องกราบขออภัยล่วงหน้าค่ะ
  • รักนักอ่านทุกท่านคะ





**Halloween Event**
Fic นี้เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรม #MDZSxHalloween 
โดยเราเป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมต้องรับคีย์เวิร์ด ที่เกี่ยวกับฮัลโลวีนจากบัดดี้
มาแต่งเป็นฟิค ปรมจ.ค่ะ

Keyword : กุหลาบสีเลือด

Buddy : คุณเฟย์ (Twitter : @fay_13666 )


ลมแผ่วเบาต้องกระทบมู่ลี่ให้เคลื่อนไหว โฉบฉวยเอาความสดชื่นของฤดูใบไม้ผลิพัดผ่าน สำนักกูซูหลานยามสายวันนี้ต่างดำเนินไปตามกิจวัตรที่สมควร ฝีเท้าย่างก้าวเคลื่อนร่างสูงไปตามทางเดินที่ทอดยาวอย่างคุ้นชินพร้อมผ้าคลุมสีขาวปักดิ้นด้ายลายเมฆาครามโบกสะบัดต้องแสงแดดที่สาดลอดชายคาเข้ามา ดวงตาเรียวคมนิ่งเรียบใบหน้าเฉยชาไร้อารมณ์มองตรงไปข้างหน้า จุดหมายของหลานวั่งจีคือห้องหับของตนในจวนแยกของสกุลหลาน


ร่างสูงในชุดเต็มยศพึ่งกลับมาจากการรายงานภารกิจเย่เลี่ย*เมื่อคืนค่ำที่ผ่านมาแก่ผู้อาวุโสในสกุล หลังกล่าววาจาเล่าความตามเหตุเรียบร้อยจึงได้ถูกปล่อยตัวให้พักผ่อน หยกรองสกุลหลานเดินทอดน่องด้วยท่วงท่าสง่าผ่าเผย ยามฉากเหล่าศิษย์ในสำนักต้องรีบกุลลีกุลจอค้อมคำนับหลบทางให้ แต่ทว่าคุณชายรองหลานที่ดูขึงขับกับเดินผ่านไปไม่เหลือบมองใช่ว่าหมางเมิน แต่ทว่ายามนี้ใจหลานวั่งจีกลับเลื่อนลอยไม่อยู่กับตัวผิดกับหน้าเคร่งขรึมที่ปั้นอยู่

*เย่เลี่ย = ออกปราบภูตผีปีศาจ


ความเหนื่อยล้าง่วงงุนจากการทำงานและเดินทางเกาะกุมร่างกายของหานกวงจวิน ออกเย่เลี่ยสามคืนที่ผ่านมาตึงมือนัก แม้ได้ศิษย์ในสำนักร่วมด้วยถึงสิบคนพร้อมหลานซือจุย และหลานจิ่งอี๋ ก็มิอาจคลี่คลายเรื่องราวปัญหาทั้งหมดได้ภายในคืนเดียว


ภารกิจสาหัสที่ว่านั้นคือเหตุการณ์ประหลาดในหมู่บ้านแห่งหนึ่งทางใต้ ข่าวลือพิสดารถึงโรคประหลาดที่เกิดจากวิญญาณร้าย ระบาดคุกคามวิถีปวงชนให้หวาดหวั่น ครั้นไปถึงก็พบเจอเชิงศพนอนระเนระนาด บ้างเหม่อลอยรอความตายมาพรากจากโลกนี้ตามข้างทางอย่างเวทนา และเรื่องประหลาดน่าสะพรั่นสะพรึงกว่า ก็คือ ศพทั้งหลายมีพันธุ์ไม้หนึ่งงอกเงยทะลุเนื้อหนังหลังจากสิ้นใจ!


ลักษณะเป็นไม้เลื้อย มีหนามแหลมตามกิ่งก้านสีเขียว รอบใบมีความหยักคล้ายซี่เลื่อยเล็กๆ ดอกงดงามผลิแย้มช่อใหญ่สีแดงชาดดั่งโลหิต ผู้คนจึงขนานนามโรคภัยที่พรากวิญญาณคนในหมู่บ้านล้มตายนี้ว่า ‘โรคบุปผาโลหิต’ ซึ่งทำให้ชาวบ้านที่เหลือรอดไม่กล้าจัดการศพ ไม้แม้แต่จะฝังเผา เพราะผู้คนที่ยังเหลือรอดต่างพูดกันว่าราวกับรู้สึกเห็นช่อดอกไม้สีแดงที่เติบโตจากซากศพนั้น กำลังเยาะเย้ยแย้มยิ้มหัวเราะสรวลกับความระส่ำระส่ายแก่หมู่บ้านที่กำลังจะล่มสลาย กลัวว่าหากไปสัมผัสโดนอาจติดโรคบุปผาโลหิต มาพรากชีวิตตน จึงปล่อยละเลยให้ซากผู้วายชนม์ทั้งมวลไว้ ใครสิ้นใจตรงใดก็ปล่อยไว้เยี่ยงนั้น ส่วนคนอื่นๆก็พากันอพยพไปจากหมู่บ้านที่ละน้อย ทิ้งถิ่นที่อยู่เป็นหมู่บ้านผีมีแต่ร่างกายฟอนเฟะกราดเกลื่อน เป็นอาหารหล่อเลี้ยงดอกไม้สีโลหิตให้เติบโต จนปกคลุมไปทั่วทั้งหมู่บ้านอย่างรวดเร็ว


ครั้นเหยียบถึงถิ่นที่หมาย ภาพความอเนจอนาถของหมู่บ้านที่เผชิญกับโรคร้ายเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้หนักหนา พอสืบค้นต้นตอด้วยความที่อยู่ในสถานการณ์อกสั่นขวัญแขวน ชาวบ้านต่างสติแตก เล่าเหตุเล่าความ ชี้ประเด็นที่นำพาไปสู่การจับต้นชนปลายไม่ได้แม้แต่น้อย บ้างก็ว่าคำสาป บ้างก็ว่าภูตผีร้ายถูกคลายผนึกอาละวาด บ้างก็ว่ามีผู้แกร่งกล้าสายมาร ต้องการทำลายหมู่บ้านเพราะไม่พอใจด้วยเหตุเรื่องต่างๆนาๆ


อาจดูมีเพียงเรื่องโรคระบาดปัญหาเเดียวที่ต้องแก้ไข แต่ทว่าพอ...พลบค่ำ เหล่าศิษย์สำนักเซียนกูซูหลาน ต้องพบกับหมู่บ้านที่กลายเป็นดินแดนแห่งภูติผี ด้วยมีผู้วายชนม์มากมายไม่ได้ทำพิธี วิญญาณย่อมอัดแน่น แทบเรียกได้ว่าเลวร้ายเท่ากับหุบเขาสุสานไร้ญาติที่อี้หลิงเลยทีเดียว ความชุลมุนยุ่งเหยิงตามมาราวกับด้ายพันกันยากที่จะรื้อ วิญญาณร้ายมีจำนวนมหาศาลอย่างน่าประหลาดผิดธรรมชาติ ทั้งๆที่ตายด้วยพิษโรคภัยบุปผาโลหิต แต่เหตุใดถึงกลายเป็นวิญญาณอาฆาต ราวกับถิ่นที่นั้นเป็นสนามรบมีคนตายด้วยการสังหารเสียอย่างนั้น เรื่องราวยากจะรับมือ สามวันสามคืนไม่มีเวลาแม้แต่จะพักจิบน้ำชาสักจอก พักหลับใหลชั่วครู่ก็มิอาจทำ 


ภารกิจครั้งนี้คงต้องยกความดีความชอบให้แก่ปรมาจารย์อี้หลิง อาจเพราะอดีตเป็นถึงศิษย์เอกแห่งสำนักสตบงกชเก้ากลีบ การรับมือกับเย่เลี่ยย่อมไม่อ่อนประสบการณ์ ประกอบทั้งเจ้าตัวหูตาเฉียบแหลม มีความสามารถวิเคราะห์สูง ขณะที่ศิษย์กูซูกางเขตแดนไล่กำจัดปีศาจทีละตัว ขจัดความกลัวให้แก่ชาวบ้าน เว่ยอู๋เซี่ยนได้สาวโยงใยไปจนพบต้นต่อทั้งหมด


เหตุแท้จริงเกิดจากวิญญาณหญิงสาวที่ถูกฆ่าเพื่อบูชายัญต่อเทพเจ้าตามความเชื่อในหมู่บ้าน หญิงสาวผู้นั้นเป็นหม้ายอาศัยอยู่ผู้เดียว เรื่องราวเริ่มจากเหตุการณ์ภัยแล้งมาเยือน ตาน้ำบาดาลที่เคยหล่อเลี้ยงให้เริ่มเหือดหาย น้ำแต่ละบ่อในหมู่บ้านเริ่มแห้งเหือด ที่ตักได้จากก้นบ่อเป็นเพียงโคลนตม จนกระทั่งเหลือเพียงบ่อน้ำในเขตรั้วของหญิงหม้ายผู้เดียวเท่านั้นที่ตาน้ำยังคงเอ่อล้นน้ำบาดาลให้ได้ใช้  ข้างบ่อน้ำของหญิงหม้ายพันธุ์ไม้หนึ่งที่เธอกับสามีเคยปลูกร่วมกัน


คราแรกเธอไม่ยินยอมที่ต้องแบ่งปันให้คนมากหน้าหลายตามากตักน้ำในบ่อ ทว่าด้วยแรงกดดันของหลายครัวเรือนในหมู่บ้านที่ขาดแขลนน้ำ ทำให้เธอต้องมองพันธุ์ไม้ของสามีล้มตาย เพราะผู้คนที่มาตักน้ำต่างทึ้งดึงใบเล่นบ้าง เหยียบย่ำบ้าง ทำลายจนมันแห้งตายไปในที่สุด


อีกประการคือ ด้วยบ่อน้ำอยู่ในเขตรั้วบ้านของหญิงหม้ายการจัดแจงแบ่งปันน้ำให้เพียงพอต่อทุกครัวเรือนเป็นหน้าที่ของเธอ แต่ทว่าเมื่อความแห้งแล้งสาหัสมาเยือนไม่หยุดหย่อน ความขัดแย้งไม่ลงรอยเรื่องจัดสรรปันน้ำในบ่อจึงเกิดขึ้น ประจวบเหมาะกับช่วงเวลาหาผู้เสียสละชีพบูชายัญขอฝน คนที่ไม่พอใจหญิงหม้ายต่างชี้ไปที่เธอให้เป็นผู้รับชะตากรรมโหดร้ายอย่างไม่ยินยอม ด้วยเหตุเหล่านี้...ความอาฆาตไม่สามารถทำให้วิญญาณสู่สุขคติ ฝังจิตคิดแค้นอยู่ที่บ่อน้ำ ผ่านมานับสิบปีสั่งสมความไม่ปล่อยวางจนกลายเป็นปีศาจ สาปแช่งน้ำในบ่อให้ปะปนโรคา ใครกลืนกินใช้อาบต้องเป็นโรคบุปผาโลหิตสังเวยวิญญาณให้แก่เธอ เหล่าผู้วายชนม์ที่มิได้ตายเพราะหมดสิ้นชะตากรรมตามฟ้าลิขิต มิอาจไปผุดไปเกิด เวียนว่ายหลงวนในโลกพร้อมกับความโกรธเคืองใต้การชักนำของปีศาจบ่อน้ำต่อไป 


เรื่องราวนี้จบลงโดยที่หลานวั่งจีรู้สึกผิดนัก ภาพเว่ยอิงที่อ่อนล้าต้องมาร่วมชะตากรรมพยายามสะกดวิญญาณผีร้าย โดยมีศิษย์กูซูรับมือเหล่าวิญญาณแค้นมากมายพัลวัน หลานกวงจวินที่ต้องเล็งเห็นความปลอดภัยของชาวบ้านรอบตัว ดีดกู่ฉินในมือปกป้องผู้คนก็เต็มกลืนเช่นกัน แม้กระนั้นทุกอย่างก็จบลงด้วยดี ปีศาจบ่อน้ำถูกสะกดด้วยฝีมือเว่ยอิง วิญญาณเคียดแค้นจึงปลดปลงมลายหาย บ่อน้ำกลับมาสะอาดอีกครั้ง โรคภัยที่แผ้วพานจากไปดุจฟ้าสางหลังพายุฝน


ขาไปเดินทางว่าลำบากแล้ว ขากลับสิ้นแรงเหนื่อยอ่อนต้องทนเดินเท้าหลายลี้ หลานวั่งจียอมซื้อม้าเทียมเกวียนลากเพื่ออำนวยความสะดวกให้เหล่าศิษย์ร่วมสำนักที่บาดเจ็บ และหวังให้เว่ยอิงขึ้นนั่งหลังม้าไม่ต้องเดิน แต่ด้วยนิสัยคิดว่าตัวเองไม่เป็นไรเสมอ เจ้าตัวดีกลับตอบกลับด้วยรอยยิ้ม พร้อมทำเสียงร่าเริงว่า ‘ข้าไม่เป็นไร ไม่ได้บาดเจ็บ เดินเหินได้สบาย พี่รองหลานไม่ต้องหวง’


ตระหนักรู้ว่าไม่ได้บาดเจ็บร้ายแรงอันใด แต่พลังที่ใช้สะกดมารดึงแรงกายหาใช่น้อยๆเสียเมื่อไหร่ ไม่ได้พักผ่อนเต็มอิ่มสามวันสามคืนก็ไม่ต่างอะไรกับคนทรุดไข้หนัก แต่เจ้าตัวก็ยังยืนยันที่จะเดินเท้าร่วมเดินทางกับเขา และอ้างเหตุว่าม้ามีตัวเดียว เทียมลากคนบนเกวียนสี่ห้าคนก็เหนื่อยล้าแล้ว


“ดื้อด้านนัก”เสียงทุ้มลอบกล่าวกับตัวเอง ดวงตาเรียมคมหลุบลงมองพื้นกระดาน แต่ทว่าฉับพลันนัยน์ตาดุจเหยี่ยวก็ปาดมองไปที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ในสวนด้านข้างเฉลียง ท่ามกลางฝูงกระต่ายที่รายล้อมเดินต้วมเตี้ยมสะบัดหูยาวไปมานั้น มีร่างหนึ่งเอนกายนั่งใต้ต้นเฟิ่งหวงมู่*แผ่กิ่งก้านสูงตระงานครอบคลุมอาณาบริเวณ ให้ร่มเงาคลายร้อนมาหลายสิบปีแก่สำนักกูซู

*(鳳凰木 เฟิ่งหวงมู่ : ต้นหางนกยูง)


ฝีเท้ามั่นคงก้าวลงจากเฉลียงด้วยบันไดที่ใกล้ที่สุดก่อนจะสืบเท้าเดินผ่านต้นหญ้าไร้วัชพืชงอกแซม เสียงซอกแซกเหยียบย่ำเข้าใกล้เรียกให้เหล่ากระต่ายตื่นตัวสบมอง บ้างตื่นตัวยืนสองขาฉะเง้อมองหุตั้ง แต่ทว่าพอพบเห็นรูปลักษณ์ สัมผัสกลิ่นและรับรู้ว่านั่นคือเจ้าของ ความไว้ใจก็ผลักดันให้พวกมันเลิกสงสัย กระโดดต้วมเตี้ยมเคี้ยวนั่นนี่ตุ่ยๆในปากดังเดิมแบบไม่สนใจอันใดอีก


หานกวงจวินเคลื่อนกายก้าวเดินตวัดชายอาภรณ์ขาวผ่านเจ้ากระต่ายเรี่ยเท้า แล้วหยุดยืนตรงหน้าร่างโปร่งที่มีสีหน้าเหนื่อยล้าง่วงงุน เว่ยอิงนั่งผิงต้นไม้ใหญ่ ปล่อยให้กระต่ายตัวอ้วนสองสามตัวตะกุยหน้าตักเล่นอย่างสนุกสนาน บ้างก็เคี้ยวชายผ้าสีดำคลิปแดงเล่นงับๆ มือเรียวกำยอดยอดผักบุ้งหนึ่งกอให้เจ้าสัตว์ขนปุยสองตัวยื้อแย่งฉุดทึ้งดึงรั้งเข้าปาก ในขณะที่ดวงตาโตคมเผยแววร่าเริงเป็นนิจปรือแทบปิด กวาดตามองไปข้างกายร่างโปร่งนั้น มีตะกร้าผักเล็กๆใบหนึ่งที่ล้มนอนตะแคง จนเจ้าสัตว์นักกินพืชสามารถเบียดเสียดเพื่อกรูมุด พากันเข้าไปรุมตะกุยผักใบเขียวรสโอชา อิ่มหนำสำราญกับยอดผักบุ้งสดๆเป็นกระจุกใหญ่ จนคล้ายก้อนกลุ่มปุยฝ้ายหลากสีสันกองหนึ่งเลยทีเดียว ทำให้ใบหน้าเคร่งขรึมคลี่ยิ้มบางๆก่อนจะกล่าวขานนามของคนที่แม้จะเหนื่อยกายสายตัวแทบขาด แต่ยังมีใจเมตตาหาอาหารมาให้กระต่ายแทนทีจะไปอาบน้ำเข้านอน


“เว่ยอิง”เสียงทุ้มต้องหู ดวงตาคู่งามปรือแทบหลับตวัดมองร่างสูงอย่างเลือนราง เมื่อชัดแจ้งแล้วว่าเป็นผู้ใดใบหน้ามนจึงสะบัดส่ายหัวไปมาหวังขับไล่ความง่วงงุนที่เกาะกุม ก่อนจะยิ้มเผล่รับคนรัก “รายงานผู้อาวุโสเสร็จแล้วหรือ?”


“อืม”หลานวั่งจีเอ่ยรับในลำคอ ก่อนจะโน้มตัวคว้าต้นแขนคนที่นั่งอยู่ท่ามกลางกระต่ายน้อยใหญ่เพื่อช่วยฉุดลุกขึ้น แต่ทว่าคนที่ควรยอมลุกแต่โดยดีกลับไม่ให้ความร่วมมือ ใบหน้ามนที่เต็มไปด้วยความง่วงงุนเชิดมองอย่างเชื่องช้า ดวงตาคู่งามปรือมองร่างสูง ก่อนที่แขนทั้งสองข้างจะชูขึ้น มือเรียวกรีดกรายแบออก การกระทำทุกอย่างจบลงด้วยคำเดียวที่เอ่ยเอ่ยผ่านริมฝีปากกลีบบัว



“...อุ้ม...”

ดวงตาสะท้อนภาพของผู้ออดอ้อนตะลึงงัน คิ้วเรียวเลิกขึ้นอย่างฉงนสงสัย ก่อนใบหน้าคมของหานกวงจวินจะแย้มยิ้มทันใด ดวงตาอ่อนโยนหลบต่ำมองคนนั่งตรงหน้าตนด้วยความใจอ่อนยินยอมกระทำตามบัญชา สองขาทรุดนั่งลงบนพื้นหญ้า ไม่เกรงกลัวสิ่งสกปรกรังควาญเปรอะเปื้อนผืนผ้าสีขาว สอดแขนสวมกอดร่างโปร่งกระชับมั่น อีกข้างช้อนขาเรียวทั้งสอง ออกแรงประครองพร้อมลุกขึ้นยืน


“นี่...หลานจ้าน”เสียงแผ่วของเจ้าของศีรษะทุยที่เอนอิงพิงสบเรียกเจ้าของอกแกร่งเบา ดวงตางามปรือลงช้าๆ ก่อนจะกล่าวคำถามด้วยน้ำเสียงหยอกล้อแผ่วจาง “ไม่อาบน้ำได้ไหม”


“ไม่ได้”หานวั่งจีกล่าวกระซิบตอบคำถามแผ่วเบา ยกร่างโปร่งที่ง่วงงุนทอดนอนบนแสนแขนอย่างทะนุถนอม กล่าวเดินทอดน่องตัดผ่านแสงเงาเหล่าต้นไม้ที่ทอดตก จากสวนงดงาม เดินผ่านขึ้นเฉลียง ละเลยมู่ลี่ต้องลมสั่นไหวริมระเบียง ผ่านเส้นทางน่าฉงนคดเคี้ยวสู่เขตจวนของตน



--------------------------------------



เสียงคันโยกเสียดลั่นดังก้อง ทำให้ลูกสูบเหล็กเคลื่อนในท่อทองเหลือง สร้างสุญญากาศไล่ดึงน้ำจากใต้บ่อบาดาลดังเอี๊ยดอ๊าด ผนวกปนไปกับเสียงสายน้ำไหลกระฉอกหลั่งเทปะทะผิวนทีในถังไม้ใบใหญ่ รองรับน้ำอุ่นร้อนรินไหลจากหัวท่อที่งองุมดังปากกา ทิ้งช่วงเป็นระลอกตามจังหวะของคานโยกหางลิงที่ขยับขึ้นลง ด้วยน้ำมือของชายหนุ่ม ผู้เปลือยเปล่าท่อนบนเผยกล้ามเนื้อล่ำสันรับร่างสูงสง่างาม หมายสูบน้ำแร่ร้อนจากธาราเส้นประปาที่หล่อเลี้ยงปวงชนกูซูหลาน หากใครได้มาพบเห็นหานกวงจวินในช่วงเวลานี้ คงเผลอหลุดปากชมร่างกายสมชายชาญ เหมาะกับฉายานามหยกรองสกุลหลานอย่างคู่ควร


หานกวงจวินใช้กำลังแขนจนกล้ามมัดปูดนูนแน่นแข็ง ออกแรงดึงคันโยกหางลิงสูบน้ำบาดาลร้อนเติมเต็มถังอาบน้ำใบใหญ่ ก่อให้เกิดหมอกไอระลานจนมองไม่ถนัดตา เพราะน้ำร้อนอุ่นที่หลั่งไหลหยดย้อยจากคันสูบเหล็กกล้าแสนหนัก กับสายน้ำเล็กๆที่เล็ดรอดหลังจากซี่ถังไม้ประกบกันไม่มิดพอ ราดลดหลั่งรินบนหินกรวดเย็นเยียบที่เรียงรายละลานอัดแน่นทั่วพื้นห้องอาบน้ำแห่งนี้ ด้วยความต่างของอุณหภูมิร้อนและเย็น จึงเป็นบ่อเกิดของเหล่าม่านหมอกสีขาวคลุกกรุ่นทั่วห้องอาบน้ำแห่งนี้ พอต้องกับแสงยามสายที่ลอดเข้ามาผ่านซี่กรงไม้ของช่องลมเล็กๆอยู่สูงเลยหัว จึงเกิดเป็นสายลำแสงตัดหมอกไองดงาม


เสียงคันโยกสูบน้ำระลอดสุดท้าย พร้อมกับสายน้ำที่ล้นทะลักปริ่มอ่างไม้ไหลซ่าลงชะพื้นหนึ่งครา เสียงหอบหายใจของหลานวั่งจีสะท้อนก้อง ก่อนมือแกร่งจะผละมือจากคันโยก ยกแขนโบกปาดเหงื่อบนหน้าผากหนึ่งครา ขณะที่สองเท้าออกเดินไปหาร่างที่นั่งอิงพิงแอบขอบประตูห้องอย่างเงียบงัน 


“เว่ยอิง... อาบน้ำเถอะ”เสียงทุ้มกระซิบกระซาบ หลานวังจีทอดมองร่างโปร่งที่หลับใหลหายใจเป็นจังหวะนิ่งลึก ย่อตัวลงยกมือลูบใบหน้าของเว่ยอิง ในที่สุดเสียงครางอืออึงงัวเงีย พร้อมกับมือที่ทิ้งนิ่ง เริ่มขยับยกตะปบสิ่งที่รังควาญใบหน้าตน เปลือกตาสีงาช้างค่อยๆขยับลืมตา ก็พบว่ามีใบหน้าของหยกรองสกุลหลานนั่งจ่อประชิด จนอดสะดุ้งตกใจไม่ได้ “เหวอ! หลานจ้าน...เจ้าทำบ้าอะไรเนี่ย!”


“ลุก...อาบน้ำเถอะ”คนที่ค่อยๆยืนขึ้นพรางเอ่ยออกคำสั่ง ไม่วายกอบกุมกระชับต้นแขนฉุดดึงคนที่ยังง่วงหนาวหาวนอนให้ลุกขึ้น เว่ยอิงไร้ท่าทีขัดขืนลุกขึ้นตามแรงดึงอย่างว่าง่าย มองหลานวั่งจีเดินไปใกล้อ่าง ค่อยๆปลดเปลื้องเสื้อผ้าแล้วพับเก็บลวกๆโยนกับพื้นห้องน้ำ เหลือเพียงกางเกงขายาวตัวบาง... บางจนกระทั่งเห็นโครงขาแกร่ง และ...ความเป็นชาย


เว่ยอิงเบนสายตากึ่งหมั่นไส้กึ่งละอาย ก่อนจะกล่าววาจาด้วยน้ำเสียงเอือมระอา “พี่รองหลาน เจ้านี่ช่างหน้าด้านขึ้นทุกวัน”


คนฟังได้ยินดังนั้นก็ยิ้มบางๆ พร้อมก้าวขาตวัดตัวลงอ่างไม้ช้าๆ ยกมือกวักน้ำปะรดตนลบเหงื่อไคล้ที่รังควาญ ก่อนจะหันมองคนไม่ยอมถอดเสื้อผ้าด้วยความงงงวย เมื่อเห็นใบหน้างามแดงเรื่อแอบปรายมองอย่างโฉบฉวย หลานวั่งจีก็แอบหัวเราะในใจ แล้วยื่นมือออกไปนอกอ่าง ณ ทิศทางที่เว่ยอิงยืนอยู่อย่างเชิญชวน “มาเถอะ...”


หยกรองสกุลหลานยืนอยู่ในอ่างน้ำไม้ใบใหญ่ แม้หมอกควันปิดบังเรือนร่างที่สาวใดมาเห็นคงต้องละลายเพียงใด แต่คนที่ได้รับการเชื้อเชิญกลับมองมือใหญ่ที่ยืนมา กลับรู้สึกเหมือนตนกำลังถูกผีพรายล่อลวงไปฆ่าในน้ำซะอย่างนั้น แต่เจ้าของดวงตาคู่งามคิดเพ้อเจ้อได้ไม่นานนัก ความง่วงงุนก็ตีตื่นมาอีกครั้ง ทำให้เว่ยอิงในร่างโม่เสวี่ยนอวีสะบัดหัวไล่ความมึนงง พร้อมบอกกับตนว่าหยุดคิดไร้สาระ รีบอาบน้ำแล้วไปนอนสักที


เว่ยอิงพรั่งพรูถอนลมหายใจสั้นๆ เคลื่อนมือเรียวค่อยๆคลายปมเชือกรัดเอว แล้วปล่อยมันทิ้งกับพื้นอย่างไม่แยแส ตามด้วยผ้าผูกเอวและเสื้อนอกสีดำที่พึ่งแก้ ก่อนจะปลดปลงเสื้อในตัวบน ตามด้วยถอดกางเกงตัวนอก ล่อนจ้อนกายมีเพียงกางเกงขายาวด้านในหนึ่งชิ้นเท่านั้น แม้ม่านมอกจะระเหยปกคลุมรอบห้องอาบน้ำเท่าใด แต่ไม่อาจปิดบังสายตาวาววับกึ่งโลมเลียของหานกวงจวินได้แม้แต่นิดเดียว ใบหน้าคมนิ่งเรียบ แต่รอยยิ้มกริ่มกลับถูกวาดขึ้น พร้อมสองตาที่จ้องมองคนรักปลดเชือกรัดผมเป็นอย่างสุดท้าย เส้นผมสยายระรานร่างโปร่งขับผิวนวลให้ดูสว่างขึ้นไปอย่างถนัดตา ก่อนจะเห็นเจ้ากาดำอ้าปากหาววอด พร้อมเคลื่อนตัวมาจับมือตนไว้ ก้าวขายื้อตัวปีนขอบอ่าง โดยที่คนในอ่างรีบเข้าประครองไม่ให้ล้ม จนหน้าทิ่มจมน้ำตาย


เสียงน้ำล้นดังครืน เมื่อมีสองร่างบุรุษยืนในอ่างน้ำ เว่ยอิงเหลือบมองเงาของตนในอ่างก่อนจะหย่อนตัวนั่งลงในน้ำอาบซับซับความร้อน พรางครางในลำคออย่างพึ่งพอใจ มือเรียวรีบกระตุกมือใหญ่ เป็นสัญญาณบอกให้นั่งลงแช่น้ำด้วยกันเร็วๆ พรางกล่าวเชิญชวน “นั่งลงเร็วๆหลานจ้าน น้ำอุ่นกำลังดี”


“อืม”ขานรับเพียงเท่านั้น ร่างแกร่งก็ค่อยๆหย่อนตัวลงนั่งบ้าง อ่างน้ำนี้แม้ใบใหญ่ก็ตาม แต่ก็สร้างมาเพื่อให้หนึ่งคนอาบได้อย่างสะดวกสะบาย เว่ยอิงจึงรีบชักขาเรียวของตนที่เผลอนั่งขัดสมาธิใต้น้ำร้อน ชันขึ้นกอดไว้แนบอกของตน เผื่อแผ่แบ่งปันพื้นที่ก้นอ่างไม้ให้อีกคนได้นั่งอย่างสบายๆ หลานวั่งจีทรุดนั่งได้ที่ ก็ไหลกายเกยศีรษะที่ขอบอ่าง พรางหลุดเสียงทุ้มครางฮือในลำคอแสดงความพึ่งพอใจเบาๆ ก่อนดวงตาเรียวคมจะเหลือบมองร่างโปร่งนั่งตรงข้าม ถือก้อนอะไรสักอย่าง ก่อนปล่อยลอยล่องบนผืนน้ำตรงกลางระหว่างกัน


“บุปผาโลหิต?”เสียงทุ้มเอ่ยสูงไตร่ถามนามของมัน เว่ยอิงขานรับสั้นๆ ก่อนใช้นิ้วดันดอกไม้สีแดงกลางอ่างดอกนั้นให้ลอยล่องไปปะทะอกแกร่งของหลานวั่งจี “อืม ข้าเก็บมันมาน่ะ”


“แล้วดอกนี้เล่า” มือใหญ่ชี้ไปที่ดอกไม้คล้ายกัน แต่กลีบนั้นกลับเป็นสีขาวพิสุทธิ์ดังกระดาษ เว่ยอิงค่อยๆช้อนมันขึ้นจากน้ำก่อนขยับส่งมันไปใกล้หลานจ้าน พรางกล่าวตอบสั้นๆ “ชนิดเดียวกัน”


หลานวั่งจีได้ยินดังนั้นก็เพ่งมองพรางตระหนักคิดในใจ บุปผาโลหิตเติบโตจากซากศพที่ตาย ส่วนดอกไม้สีขาวเว่ยอิงกลับกล่าวว่าเป็นชนิดเดียวกัน ความเงียบโรยตัวอย่างเงียบงัน ทั้งสองต่างตกอยู่ในภวังค์ของตน ก่อนเสียงทุ้มจะเอ่ยในสิ่งที่ฉุกคิดในใจ “ดูดเลือดจากศพ...”


“ข้าสงสัยว่าเป็นเช่นนั้น...”เสียงหวานกล่าวราบเรียบ นัยน์ตาสีเทากลมโตคู่งามทอดมองบุหงาสองสีแตกต่างลอยล่องเหนือน้ำ พรางเอนเอียงศรีษะทุยพิงขอบอ่าง ทอดมองมันไม่กล่าวอะไร ทว่า...หลานวั่งจีกลับสังเกตุเห็นได้ว่าเจ้ากาดำต้องมีอะไรบางอย่างลอยคว้างในใจ มือใหญ่จึงคว้าเอาต้นแขนแล้วออกแรงดึงตัวคนที่ยังไม่ได้ตั้งสติขัดขืนอันใดเข้ามาหาตน ก่อนจะอาศัยแรงพยุงของน้ำที่ทานความหนักของร่างโปร่งให้เบาดังปุยเมฆ หมุนกายเว่ยอิงนั่งซ้อนเหนือตักแกร่งของตนอย่างง่ายได้ คนถูกกระทำอุกอาจไม่ได้รับการบอกกล่าวเบิกตาโตอย่างตกใจ แปะมือปัดป่าย หวังคว้าไขว่ยึดขอบอ่าง ยื้อตัวหนีหลานวั่งจี แต่ไม่อาจหลุดพ้นอ้อมแขนแกร่งที่เกี่ยวเอวตนไว้ จึงเอี้ยวหน้ามองคนด้านหลังก่อนจะโวยวายเสียงดัง “หลานจ้าน เจ้าทำอันใดน่ะ ปล่อยข้านะ”


“นั่งแบบนี้สบายกว่า” ไม่ว่าเปล่า แขนแกร่งกดตัวให้คนในอ้อมกอดนั่งทับตักตน แล้วฉวยโอกาสจุมพิตหลังคอผ่านผมสีดำเปียกชื้น สร้างความจักกะจี้เล็กๆให้เจ้าของคอเป็นอย่างยิ่ง เว่ยอิงหลับตาแน่นเมื่อรับรู้สึกถึงลิ้นชื้นๆกำลังตวัดเลียสะบักหลัง ก่อนจะถูกริมปากหยุ่นโฉบจุมพิตอีกที ณ แอ่งชีพจรที่ไร้เส้นผมบดบัง มือแกร่งข้างหนึ่งกำลังสาละวนลูบไล้หน้าท้องเรียบของตนใต้ผืนน้ำ เว่ยอิงรู้สึกลำบากใจยิ่งนัก แต่ก็ปฏิเสธตนเองไม่ได้ว่า ตอนนี้ไม่มีอารมณ์ใดๆทั้งนั้น ความง่วงงุนหนักอึ้ง และเรื่องบางเรื่องคิดไม่ตก จึงทำให้เจ้าของร่างในพันธนาการของหานกวงจวินเลิกยื้อตัวขัดขืน ทิ้งตัวลงนั่งบนตักกว้าง เอนกายพิงอกแกร่ง เผยตนว่าหมดแรง เป็นหลักฐานยืนยันวาจาเรียบนิ่งร้องขอหลานวั่งจี “พอเถอะหลานจ้าน วันนี้ข้าเหนื่อยเหลือเกิน”


สภาพนวยนาดแอบอิงปราศจากแรงของเจ้ากาดำ ทำให้หลานวั่งจีหยุดมือที่ซุกซน ครางอืมรับคำอย่างเข้าใจ ก่อนจะกวัดน้ำแล้วตวัดลูบไล้ใบหน้าเหนื่อยอ่อนของคนในอ้อมกอดเบาๆ ดันศีรษะทุยให้เอนซบลงที่ไหล่แกร่งของตน ก่อนฝังจมูกโด่งลงบนขมับนวลอย่างหมั่นเขี้ยวหนึ่งที แล้วเคลื่อนริมฝีปากเอ่ยวจีไถ่ถาม ข้างหูของคนที่กำลังช้อนดอกไม้ที่ลอยคว่ำให้พลิกหงาย พร้อมกระชับอ้อมแขนกอดร่างเปียกชื้นเบาๆ“อะไรกวนใจเจ้าอยู่หรือ”


“ไม่รู้สิ”เว่ยอิงกระซิบ ก่อนจะชี้ที่ดอกไม้สีแดง “ดอกไม้สีชาดดั่งโลหิตนั้น ข้าเก็บขึ้นจากศพ” ก่อนจะเลื่อนมือไปชี้ดอกไม้สีขาว “ส่วนดอกนี้ข้าเก็บมาจากต้นที่หงิกหงออ่อนแอใกล้ตายข้างบ่อน้ำ”


“แล้วอย่างไร...”


“เดิมทีดอกไม้นี้เป็นสีขาว เสมือนจิตใจของหญิงหม้ายที่ไร้ความแค้น... ส่วนสีแดงนั้น...”


“คือจิตใจที่ถูกกลืนกินด้วยความแค้นงั้นหรือ”เสียงทุ้มพูดแทรกอย่างรู้ทัน ก่อนจะกอบกุมมือเรียวที่กำลังช้อนประครองดอกไม้สีแดงนั้น แล้วลูบไล้เบาๆ เว่ยอิงแย้มยิ้มการกระทำที่แสนอ่อนโยนนั้นบางๆ พรางสอดประสานมือของตนเข้าไปในอุ้มมือใหญ่ นิ้วแกร่งขึ้นข้อต่อหงองุมบีบกระชับกอบกุมแน่นหนาทันใด ก่อนจะวางคางแกร่งเหนือไหล่ผอม แล้วถามคำถามด้วยเสียงแผ่วกระซิบ “เรื่องของเจ้ากับเรื่องของนางเปรียบกันไม่ได้หรอก...เว่ยอิง เลิกคิดเสีย”


คำกล่าวของหลานวั่งจี ทำให้คนฟังกลั้วหัวเราะเบาๆ คนผู้นี้อ่านใจตนออกตั้งแต่เมื่อไหร่นะ “ข้าแค่กำลังสงสัย..”


“เรื่องอันใด”



“ใครกันจะเป็นผู้รับผิดชอบความแปดเปื้อนของบุหงาสีขาวกัน”


“...”


“หลานจ้าน...อย่างที่เจ้าพูดก็ถูกต้อง ข้ากับปีศาจหญิงหม้ายตนนั้น เทียบชะตาแล้วหาได้เหมือนกันไม่ เดิมทีจิตใจของนางมีสีขาวพิสุทธิ์งดงาม แต่ด้วยความเลวร้ายของโชคชะตาและคนพาล ทำให้นางต้องแปดเปื้อนด้วยความแค้น ลงมือเข่นฆ่าหาความเป็นธรรมให้ตนเอง ด้วยจิตวิญญาณที่ร่ำไห้.... แต่ทว่าข้านั้นต่างออกไป...”


“เว่ยอิง...”


“ข้านั้นเหมือนกับนางเพียงแค่ถูกโชคชะตาและคนพาลรังแกทำร้าย แต่เรื่องราวหลังจากนั้นไม่เหมือนกัน... ข้าจำเป็นต้องเข่นฆ่าเพื่อปกป้องสกุลเจียง... ปกป้องเจียงเฉิง... ทั้งไม่ให้ถูกฆ่า และไม่ให้เขาต้องเปื้อนเลือดจนกลายเป็นแบบปีศาจบ่อน้ำนั่น! ข้าเสียจินตันให้เขาเพราะต้องรักษาสัตย์กับอวี๋ฝูเหริน ข้าจำเป็นต้องใช้พลังสายมารเพื่อต่อสู้กับกเฬวรากสกุลเวินไม่ให้คุกคามสี่สกุลเซียน... ที่ต่างมีสหายของข้าเป็นเดิมพัน...รวมถึงเจ้าด้วย หลานจ้าน...”


“เว่ยอิง พอเถอะ...”


“ทว่า...ยิ่งสู้ยิ่งรู้ว่าตนอ่อนแอ เพื่อให้แข็งแกร่ง ข้ายิ่งต้องถลำลึก ปลดปล่อยตัวตนให้จมลงก้นบึ้งไปกับสิ่งที่ตรงข้ามกับคนมีคุณธรรมควรมี...หลานจ้าน...บอกข้าที ที่ข้าต้องเข้าสู่สายมารนี้... ต้องก้าวเดินไปในเส้นทางเลวร้ายดั่งนรกอเวจีนี่ มันเพราะใครกัน...”


“...”


“หรือเป็นดังที่เขาว่ากัน.. ว่าข้าโง่เขลาแกว่งเท้าหาเสี้ยน... ย่างขาเหยียบโคลนตมโดยไม่คิดหน้าหลังเองงั้นหรือ...”


“เว่ยอิง...มันผ่านมาแล้ว เจ้าได้หวนกลับคืนมาในร่างนี้ ได้เคียงคู่กับข้า เหตุใดต้องไปนึกถึงเรื่องที่ไม่อาจย้อนกลับได้ เพราะเหตุใดก็ช่...”


“ช่างมันงั้นหรือ...หึ!”เสียงหวานเค้นในลำคอ ก่อนผละตัวออกจากอ้มอกแกร่ง พลิกกายใช้มือยันอกที่มีตราสกุลเวินประทับไว้ จ้องหน้าคนเอ่ยประโยคปลอบแสนขัดใจย้อมด้วยแววตาพร่างพราว ยกช่อบุหงางามต่างสีขึ้นมาปะทะสายตาเรียวคมที่สั่นไหว กัดฟันกล่าวถามสิ่งที่อยู่ในใจด้วยอารมณ์ผันผวนรุนแรง “หลานจ้าน เจ้ารู้หรือไม่ว่าบุปผานี่มีชื่อเรียกว่าอะไร”


“ข้า...”เสียงทุ้มเอ่ยลากแล้วหายไป ก่อนหลุบตาต่ำอย่างจนใจ คนที่ตั้งคำถามเค้นยิ้มอย่างเย้ยหยัน ทอดมองเหล่าดอกไม่ในมืออย่างเวทนา แล้วค่อยวางมันลงน้ำ สูดหายใจสะกดกลั้นอารมณ์ พรางโถมตัวลงอิงอกอุ่นดังเดิม ปากเรียวกล่าววาจาเสริมคำที่หายไปของหลานวั่งจีเสียงเบาคล้ายน้อยใจ“ไม่รู้ใช่ไหมล่ะ..”


“อืม... เจ้ารู้หรือ?”คนเป็นพนักพิงกล่าวถาม พรางกวักน้ำรดร่างในอ้อมกอดเบาๆ คว้าหยิบเอาผ้าสีขาวที่ห้อยปากถังไม้ มาเช็ดถูกชำระคราบไคล้ให้แขนเรียวอย่างบริการ และแอบลอบมองใบหน้างามที่หลับพริ้มคิ้วขมวด อย่างระวังไม่ให้ทำอะไรจี้จุดอารมณ์ เว่ยอิงครางรับเบาๆอย่างไม่ปิดบัง “อืม...ขากลับมาอวิ๋นเซิน...ข้านำดอกไม้ไปถามพ่อค้าคนหนึ่ง เขากล่าวว่า...




นามของมันคือ ‘เหมยกุ้ย’
( 玫瑰 เหมยกุ้ย : กุหลาบ)


“เหมยกุ้ย... เหมาะนัก”คนได้ฟังนามที่แท้จริงของบุหงากล่าวอย่างจริงใจ ก่อนใช้มือใหญ่ช้อนทั้งสองดอกประครองลอยมาใกล้เว่ยอิง ที่กล่าววาจาแสนเศร้า “อือ.. แต่พวกเรากลับเรียกขานมันว่า ‘บุปผาโลหิต’ ไม่เอ่ยนามที่แท้จริงของมัน... เหมือนกับหญิงหม้ายคนนั้นที่ไม่มีใครจำได้ ถูกเรียกว่าปีศาจ... และเช่นเดียวกัน...



เหมือนกับข้า...ที่ถูกกล่าวขานและจารึกเป็น...อี๋หลิงเหลาจู่”
.
.
.

“แล้วอย่างไรเล่า”


เสียงทุ้มแสนอ่อนโยนกล่าวแทรกสวนขึ้นมาทันทีที่เว่ยอิงสิ้นคำ เรียกความฉงน พร้อมกับดวงตาน้ำงามตวัดเอี้ยวสบมอง สะท้อนภาพรอยยิ้มแสนเศร้าของหลานวั่งจีในดวงตาสีเทาโตคม ก่อนจะเหลือบมองมือใหญ่ที่เคลื่อนมาสัมผัส และออกแรงดันไหลให้ตน ให้หันหน้ามาประจัญมอง


คุณชายรองสกุลหลานหยิบดอกไม้ทั้งสองสีขึ้นมาทัดบนใบหูของเว่ยอิง ปาดนิ้วเรียวผ่านเส้นผมที่ปรกใบหน้านวล ดวงตาเรียวคมคู่นั้นล้ำลึกสะท้อนภาพเจ้ากาดำแสนตรงหน้า ก่อนจะช้อนมือรับแก้มนวลราวกับว่าเป็นแก้วบางเต็มไปด้วยรอยราวใกล้แตกสลาย ริมฝีปากหยักเปล่งเสียงทุ้มเตือนใจให้เว่ยอิงได้ฉุกคิด ท่ามกลางหัวใจที่พยายามหลุดพ้นจากกับดักอดีตด้วยตนเอง


“แล้วอย่างไรเล่า
ต่อให้มีจิตใจใสสะอาด หรือโสมม
ต่อให้มีโชคชะตาเต็มไปด้วยสุขล้น หรือ โศกเศร้าดิ้นรนจำทนแค่ไหน
ต่อให้ใครต่างหลงลืมชื่อของเรา ไม่จากรึกนามไว้...แล้วจะทำไม

อย่างน้อย...ทั้งเจ้า ทั้งดอกไม้ ทั้งหญิงหม้ายผู้นั้น...

ก็เคยผลิดอกแย้มบาน ประกาศตัวตนตราตรึงในความทรงจำของผู้คน...ก่อนสูญสิ้นไป
โดยไม่ต้องพึ่งพาใครมาประดิษฐ์ความงามให้ เฉกเช่นเหล่าดอกไม้หยก ดอกไม้ทอง”


“หลานจ้าน...นี่เจ้า...”


“เว่ยอิง.. ข้าก็เฉกเช่นเดียวกับเจ้า ที่เสาะหาจนรู้นามแท้จริงของบุปผานี่...

หลานจ้านผู้นี้ก็มองเห็นตัวตนที่แท้จริงของอี๋หลิงเหลาจู่เช่นกัน”

สิ้นคำ ริมฝีปากของหลานวั่งจีไม่อาจกล่าวคำใดได้อีก ร่างโปร่งของคนฟัง เท้าแขนเรียวทั้งสองบนบ่าหนา แล้วกลายเป็นผู้ปวารณาประทับจูบกับริมฝีปากหยักอย่างโหยหา ท่ามกลางหมอกควันของไอน้ำที่แสนเลือนพล่า หลานวั่งจีก็เห็นน้ำตาที่หลั่งรินด้วยความปิติดีใจกลิ้งหล่นบนแก้มของเว่ยอิง ก่อนดวงตาคมจะหลับลงพิงกายเอนตัวเกยขอบอ่างไม้ ตวัดแขนโอบร่างโปร่งไว้แล้วลิ้มรสจูบแทนคำขอบคุณมหาศาล ที่เว่ยอิงไม่อาจขานบรรยายออกมาได้หมดใจ แม้จะใช้เวลาทั้งห้วงชีวิตนี้ก็ตาม...



เคยได้รับของขวัญมากมาย....

ล้ำค่า งดงาม มีความหมายลึกล้ำ ใช้การสารพัดได้
เคยได้รับคำอวยพรหลากหลาย...
ความสุข อายุยืน เพศภัยไม่กล้ำกลาย สมปรารถนาที่อยากได้ทุกประการ
เคยได้รับความเมตตาอาทรเอ็นดูท่วมท้นแล้วอย่างไร....
พี่น้อง ครอบครัว ญาติ มิตรสหาย





...จะมีสิ่งใดล้ำค่าไปกว่า...
...การมีคนรู้ใจ มองเห็นตัวตนภายใน เดินเคียงคู่เรากัน...





เจ้าคือของขวัญที่ดีสุด
ที่ข้าเคยได้รับในชีวิตนี้

...หลานจ้าน...







【จบ】



จะรีบไปไหนๆ ถ้าชอบและถูกใจ Fic เรื่องนี้ 
อย่าลืมส่งมอบคำติชม หรือให้กำลังใจ กับ Suky ได้ที่


『กล่อง Comment ด้านล่าง』
ไม่ต้องสมัคร/ลงทะเบียนให้วุ่นวาย พิมพ์ได้เลย! 

หรือ

หากท่านเล่นทวิตเตอร์ เมนชั่นคุยกันใต้ทวีตเรื่องนี้
คลิ๊กตัวอักษรสีฟ้าเลย

ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน Fic เรื่องนี้นะคะ อิอิ




ติดตามผลงาน Fic / นิยาย ของ Suky ได้ที่

============================
============================


  • มุมคุยกันกับคนเขียน [ ที่คันปากอยากเล่ายิบๆ ]


31/10/2561
สุขสันต์วันเกิดนะ เว่ยอิง


 ೭੧(❛▿❛✿)੭೨


เว่ยอิง : ไหนๆดูสิ วันเกิดปีนี้ข้าได้อะไร.... อ๊ะ? เอ๊ะ? หลานจ้าน



หลานจ้าน : น่ะ...นะ...นี่ข้า...โดนลักพาตัวมาที่ไหน... อะ...วะ...เว่ยอิง... นี่มันอะไรกันน่ะ!?



ความคิดเห็น

  1. หลานจ้านน เจ้าคนดีเกินไปแล้ว ไม่ควรมีคนเดียวบนโลก😭

    ตอบลบ
  2. ชอบมากจ้า แต่งอีกเยอะๆ เบยยย

    ตอบลบ
  3. คนอย่างไรต์มีสักกี่คนบนโลกใบนี้ ที่เเทงทะลุความรู้สึกให้คนอ่าน หยุดคิดตราตรึงคำพูดเเละความรู้สึกการสื่อถึงอารมณ์ ให้จดจำว่า..สวยงามเหลือเกิน

    ตอบลบ
  4. ไม่ระบุชื่อ11 สิงหาคม 2562 เวลา 12:07

    หลานเอ้อร์เกอช่างเป็นคนดีนัก เหมาะที่จะมาเยียวยาหัวใจของเว่ยอิงนัก

    ตอบลบ
  5. โหยยยย ภาษาคืองามแท้ ชอบมากแต่งดีเวอร์อ่ะ

    ตอบลบ
  6. ภาษาสวยมากๆเลยค่ะ ชอบมากกกㅠㅡㅠ

    ตอบลบ
  7. จาร้องไห้ตามน้องอ่ะ😭

    ตอบลบ

แสดงความคิดเห็น