Fic 魔道祖师 Mo Dao Zu Shi : วิหคที่หวาดกลัวการโผบิน
Title : Fic 魔道祖师 Mo Dao Zu Shi
Type : One Short Fiction
Topic : วิหคที่หวาดกลัวการโผบิน
Pair : เจียงเฟิงเหมียน x เว่ยอิง (มั้ง)
คำเตือน
- Fic เรื่องมีความเกี่ยวข้องกับความรักระหว่างเพศเดียวกัน หากมีทัศคติที่รับไม่ได้กรุณากดออก
- Fic เรื่องนี้ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเนื้อหาหลักใดๆ ของปรมาจารย์ลัทธิจารย์ Mo Dao Zu Shi 魔道祖师 ที่อาจารย์ Mo Xiang Tong Xiu เจ้าของผลงาน เป็นเพียงเรื่องสมมติที่จินตนาการมาจากความคิดผู้แต่ง
- ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน Fic เรื่องนี้กันนะคะ ถ้าชอบอย่าลืมช่วยกันคอมเม้นท์ โหวต แชร์ ถูกใจ หรือติดตามเป็นกำลังใจให้แก่คนเขียนนะคะ
- หากมีผิดพลาดประการใด ไม่ถูกใจท่านผู้อ่าน ต้องกราบขออภัยล่วงหน้าค่ะ
- รักนักอ่านทุกท่านคะ
============================
============================
วิหคที่หวาดกลัวการโผบิน
เจียงเฟิงเหมียน x เว่ยอิง.... (มั้ง)
**คำเตือน**
Fic เมาน้ำกระท่อมร้อยไห เขียนเพื่อสนอง Need ในใจผู้แต่งล้วนๆ
พล็อตสดไม่มีการเรียบเรียงใดๆ อ่านไม่เข้าใจต้องขออภัยด้วยนะคะ
อิอิ
เสียงเรไรระคนไปกับแว่วสัตว์ป่าราตรี ดังลอดผ่านของห้องหับในจวนสกุหลานแห่งนี้ พร้อมกับแสงจันทราสลัวสีนวล หลบรอดรุกล้ำฉายเส้นแสงยาว ลอดผ่านช่องบานประตูที่ปิดไม่สนิทเข้ามา
ในราตรีอันธกาลที่ควรขับกล่อมเหล่าผู้คนในอวิ๋นเซินปู้ฉื่อจู่หลับใหล กลับมีดวงตาโตคมสุกใสลืมตื่นขึ้นมาท่ามกลางความเงียบงัน ร่างโปร่งผู้ไม่อาจข่มตาดำดิ่งสู่ห้วงนิทรา สูดดมกลิ่นจางๆจากร่างสูงที่นอนเคียงข้าง ซึมทราบความอบอุ่นจากสองแขนแกร่งตวัดกอดร่างของตนไว้แนบอก สดับฟังเสียงลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะเหนือหัว บ่งบอกถึงร่างสูงเข้าสู่ห้วงนิทราลึกไปแล้ว ดวงตาโตคมจ้องมองสาบเสื้อของหลานวั่งจีด้วยหัวใจที่สั่นสะท้าน ก่อนจะซุกหน้าแนบชิดไร้ช่องว่างเงี่ยฟังก้อนหัวใจในอกของหลานจ้านบรรเลงเพลงแห่งชีวิต มันหนักแน่น...ทว่าก็อ่อนหวาน ทำให้เว่ยอิงรู้สึกสงบ ระคนประโลมบรรเทาบาดแผลแสนทรมาน ที่ปริแย้มคล้ายดอกไม้เบ่งบานสะพรั่งในจิตใจ
...ความเจ็บปวดที่งดงาม ยากที่จะละเว้นไม่สนใจ จะหลอกหลอนข้าไปถึงไหนกันนะ...
.
“...อาเซี่ยน...”
แว่วเสียงทุ้มนุ่มตราตรึงไม่อาจลืมเลือนดังก้องติดหู ยามนึกคิดไตร่ตรองดูในอกของอดีตศิษย์เอกอวิ๋นเมิงรู้สึกบีบรัด มือเรียวยกวางขยี้กดลงตรงตำแหน่งหัวใจ ก่อนจะขยับตัวซุกไซร้ขอไออุ่นของผู้ที่หลับใหลไม่รู้ความ ฝังสีหน้ายากจะเก็บงำความเจ็บช้ำลงบนสาบเสื้อขาวตัวงาม แล้วพยายามอดทนต่อแผลเน่าเฟะในอดีตกาล ที่สะกิดเมื่อใด น้ำหนองและเลือดที่คล้ำเน่ามักเยิ้มไหลส่งกลิ่นคุ้งทุกครา
...ท่านอา...
เปลือกตาสีงาช้างหลับลงช้าๆซ่อนง้ำความทรมาน เว่ยอิงทิ้งวิญญาณอันเหนื่อยอ่อนเปราะบางของตนเข้าสู่ห้วงนิทรา... แล้วเผชิญหน้ากับห้วงฝันที่ทั้งอยากขังตนไว้ในนั้น และวิ่งหนีมันไปให้ไกล
.
.
.
มวลอากาศแล่นลิ่วผ่านหน้า เส้นผมดำขลับรับใบหน้าผ่องของเด็กชายวัยสิบสองปีกระพรือพัดสะบัดปลิวพร้อมเชือกรัดผมสีชาดที่คลอเคลียไปกับเรือนผมดกดำดั่งขนกา ด้วยเพราะห้วงอากาศที่ถูกกระบี่คมทะยานฝ่าอย่างว่องไว ฉวัดกระแสพัดเฉวียนล่องหนไม่แสดงกาย แต่แสดงอำนาจรุนแรงเป็นเสียงสายก้องหูจนอื้ออึง
ทิวทัศน์เหนือน่านฟ้าหามองได้ยากนักสำหรับคนทั่วไป ภาพบ้านเรือนเลื่อนผ่าน ผู้คนต่างตัวจ้อยหดเล็กราวกับมด การดำเนินกิจวัตรของปวงชนบนผืนพสุธา กลายเป็นมุมมองแสนแปลกตา ประจักษ์สะท้อนสู่นัยน์ตาสีเทาใสโตคมคู่หนึ่งที่ทอดมองพื้นอากาศเบื้องล่างอย่างไม่หวั่นเกรงต่อความสูงเหนือผืนดินปราศจากสิ่งใดรองรับ รอยยิ้มสนุกสนานปาดแต่งเติมดวงหน้าน่ารัก ก่อนจะเปล่งเสียงหัวเราะคิกคักกังวานใส สะกดใจผู้ใหญ่ที่ทรงตัวบนกระบี่ให้ผินมองแล้วคลี่รอยยิ้มแต่งเติมบนหน้าของตนตาม
ท้องฟ้าสีครามสะท้อนเหนือน่านน้ำเหลียนฮวาอู้กว้างใหญ่ เผยภาพร่างของหนึ่งบุรุษ หนึ่งเด็กชายทรงตัวบนกระบี่ทะยานลัดผ่านน่านฟ้าในเสื้อผ้าอาภรณ์เป็นเอกลักษณ์ของสำนักเซียนประจำท่าเรือสัตตบงกช
ผมยาวสยายแผ่นซ่านปกคลุมบ่าแกร่ง ดวงตาอ่อนโยนทอดมองเด็กน้อยที่ร่วมยืนบนกระบี่กล้าของตนเหนือน้ำยิ้มร่า สองมือแกร่งประครองถือกอบกุมสองมือน้อยอ่อนเยาว์ที่กางระฟ้า ถลาลมเหนือเวหาราวกลับนกน้อยไว้อย่างแผ่วเบา ก่อนจะค้อมลงกล่าวถามไถ่ใกล้หูผู้ดูมีความสุขกับการลองทะยานบนกระบี่ครั้งแรก “อาเซี่ยน...สนุกหรือไม่”
เสียงทุ้มเหนือหัวเรียกให้ผู้ที่อายุน้อยกว่า แหงนหน้ามองใบหน้าคมเต็มเปี่ยมไปด้วยเมตตา ก่อนจะตอบกลับด้วยเสียงเริงร่าอย่างไม่ปิดบัง “สนุกขอรับ!”
เด็กน้อยเว่ยอู๋เซี่ยนแหงนหน้า แล้วเอนตัวขยับหัวทุยดันพิงท้องแกร่งของท่านอาอย่างออดอ้อนคลอเคลีย ดวงตาไร้เค้าเหนื่อยอ่อนเบนจากใบหน้าของผู้มีพระคุณ ปรายมองผู้คนดำเนินวิถีชีวิตเหนือท่าสัตตบงกช ซึมทราบทิวทัศน์เหนือพื้นโลกด้วยความอารมณ์ดี ทั้งๆที่ทรงตัวยืนนิ่งบนกระบี่ไม่ได้นั่งพักมากว่าหนึ่งชั่วยาม กระบี่ปราบมารเคลื่อนนำร่างของสองอาหลานลอยล่องไป เจียงเฟิงเหมียนจับมือทั้งสองของศิษย์รักน้อยอย่างประคับประครองไม่ให้ร่วงหล่น พรางคอยสำรวจอันตรายจากการโผทะยานบนฝาสายลมกรรโชกตลอดเวลา ในขณะที่เว่ยอิงกวาดตามองภาพของหมู่บรรดาฝูงนกเป็ดน้ำโฉบใกล้เมื่อครู่ ทะยานปีกล่อนลงเหนือผิวนทีนิ่งอย่างงดงาม แล้วเหลียวหน้าเหลือบมองเจ้าของพลังปราณที่ขับเคลื่อนกระบี่ “ท่านอาขอรับ เมื่อใดข้าจะมีกระบี่ประจำตัวบ้าง?”
เจียงเฟิงเหมียนทอดมองลูกของเพื่อนสนิท แล้วกลั้วหัวเราะในลำคอเบาๆกับความรุ่มร้อนเร่งรีบอยากโผบินเร็วไว มือใหญ่มือข้างหนึ่งผละออกจากการประครองช้าๆ ก่อนลูบศีรษะเล็กอย่างปลอบประโลม “อาเซี่ยน...อย่ารีบร้อนนัก น้ำหนักกระบี่หนึ่งเล่มหาใช่เบาๆ รอเจ้าเติบโตกว่านี้สักปีสองปีก่อน แล้วมาตวัดกวัดแกว่งก็ไม่สาย เจ้ายังเล็กไป หากพกไว้ ความเทอะทะจำนำภัยมาสู่ตน”
เด็กน้อยในปกครองได้ยินดังนั้นจึงก่อก้อนลมกักไว้ในสองแก้มอย่างขัดใจ ใบหน้าจิ้มลิ้มสะบัดพรืดอย่างเอาแต่ใจ แล้วกล่าวอย่างอู้อี้ “ปีนี้ข้าก็สูงนำอาเฉิง สูงกว่าศิษย์รุ่นเดียวกันด้วยซ้ำ ดาบเล่มเดียวข้าจัดการถือให้มั่นไม่เกะกะได้อยู่แล้ว”
“เว่ยอิง ภาระหน้าที่ที่มาพร้อมกับดาบนั้นไซร้ แสนหนักอึ้ง เทอะทะยิ่งใหญ่... ข้าอยากให้เจ้าโผบินเป็นอิสระทำตามความต้องการให้สาแก่ใจ จนกว่าจะถึงวัยที่คู่ควรกับการมีกระบี่ไว้ครอบครอง”
“ภาระหน้าที่?”เสียงเล็กเอ่ยกล่าวอย่างฉงน ก่อนจะต่อด้วยความเข้าใจของตนด้วยวาจาฉะฉาน “ท่านอาหมายถึงการปกป้องผู้อ่อนแอ ขจัดภัยที่แผ้วพาลรังแกเหล่าผู้คน ตั้งมั่นยึดตนในคุณธรรม... ข้าว่าข้าก็พิสูจน์ตนว่าพร้อมที่จะแบกรับมันแล้วนี่... ทั้งศิษย์พี่ทั้งท่านอา ก็เคยกล่าวว่าข้าเย่เลี่ยได้เก่งกาจยิ่งนัก ชาวบ้านต่างชื่นชมขับขานนามข้าหลังชนะปีศาจภูตผีจอมมารให้ประจักษ์เห็นแล้วนี่ขอรับ”
“อย่าใจร้อนนัก... กระบี่นั้นมีสองคม หาใช่ยึดมั่นในวิถีนักพรตแล้วเจ้าจะครอบครองถือมันได้อย่างง่ายดาย”
...คมหนึ่งอาจทำให้เจ้าเป็นวีรบุรุษดังใจหมาย...
...แต่อีกคมนั้นไซร้...อาจทำให้เจ้าต้องแปดเปื้อนอาบเลือดเข่นฆ่าคน เพราะคุณธรรม...
“แต่อย่างไรข้าก็อยากได้กระบี่เร็วๆหนิขอรับ”ใบหน้านวลงองุ้ม ปากเล็กบุ้ยบึงปลายมุมตกลง เว่ยอิงทอดมองดวงตะวันที่กำลังจะลาลับจากโลกหล้า ทอดแสงสะท้อนแพรวพราวเหนือผิวนที ก่อนจะอาศัยช่วงที่เจียงเฟิงเหมียนทอดมองความงามยามอัสดง ตวัดหมุนกลับตัวบนกระบี่คม ถลากระโจนโอบกอดเอวหนาของท่านอา ประมุขเจียงผู้ไม่ทันระวังน้ำหนักแรงที่ถ่ายเทไม่สมดุล มิได้ทันควบคุมกระบี่ต้านทาน รวนเรอยู่กลางอากาศคล้ายจะร่วงหล่น เจียงเฟิงเหมียนรีบตวัดแขนโอบกอดลูกบุญธรรมของตนไว้แนบกาย ก่อนจะก้าวขาอัดพลังปราณยื้อแรงกระบี่ใหม่ จนทรงตัวได้นิ่งงัน
“อาเซี่ยน! เจ้าเป็นอะไรหรือไม่”ทันทีที่ทุกอย่างดูปลอดภัย น้ำเสียงทุ้มดังลั่นอย่างห่วงหา กอบกุมไหล่ของเด็กน้อยข้างหน้าดันผละออกเบาๆ ก่อนจะพบกับดวงตาสั่นไหวเงยสบขึ้นมา ปากเล็กๆเผยออ้าพร้อมเผยถ้อยคำในใจของตนออกมา จนหัวใจคนเป็นอาสั่นไหวด้วยความรู้สึกนานาประการ
“ท่านอา...แล้วเมื่อไหร่ข้าจะได้โบยบินเคียงข้างท่านสักที”
ความปรารถนาตอนวัยเยาว์ที่ข้าได้กล่าวออกไป ฝ่าผ่านความหวาดกลัวในใจ แสนกริ่งเกรงว่ามันจะรบกวนท่านมากไปรึเปล่า แต่กระนั้น...ท่านก็ยังแย้มยินดีพรางกล่าวประโยคนั้นกลับมา
.
.
.
ท่านอา...ในวันที่ไม่มีใครเมตตาข้า ข้าคิดเพียงว่าต้องอยู่รอดไปวันๆ ใช้ปีกที่ไม่มีบุพการีสอนบินนั้นผิดวัตถุประสงค์ ไขว่คว้าหาทางรอดเหนือพื้นดินเยี่ยงสุนัขอย่างอนาถา
แต่ทว่า...วันนั้น มืออันแสนอ่อนโยนของท่านกลับยืนเข้ามา โอบอุ้มเยียวยาวิหคอัปลักษ์สกปรกโสมมอย่างข้า และทำหน้าที่แทนพ่อแม่ สอนวิธีโผบินในห้วงอากาศที่เรียกว่า‘อิสระเสรี’ จนดวงตาข้านี้ได้มองโลกด้านที่สดใสสวยงามอีกครา ได้ส่งเสียงรื่นรมย์แย้มยิ้มเริงราจากก้นบึ้งของหัวใจ แหวกว่ายเก็บบัวจับปลาในธารา ล่าไก่ฟ้ายิงวิหค ร่อนเร่พเนจรไปกับมิตรสหายมากมาย โผทะยานไปใต้ผืนฟ้าอันเสรีที่ท่านมอบให้อย่างสุขสมเปรมปรีดิ์
....แต่ข้าเว่ยอู๋เซี่ยนผู้นี้ ไม่เคยคิดหนีจากกรงที่เรียกว่าสกุลเจียงเลยสักครา....
....แม้ประตูกรงจะเปิดอ้าตลอดเวลา ทว่าไม่ต้องรอให้ท่านเรียกหา....
...ข้าก็พร้อมบินถลา ปรากฏกายให้ท่านได้ เฉยชมเสวนาหยอกล้อในกรงอย่างยินดี....
แต่สุดท้าย...ปีกที่ท่านสอนข้าให้ขยับโผบินนี้ กลับต้องแหลกยับเยินแตกสลายไม่มีชิ้นดี ด้วยน้ำมือของคนชาติหมาสกุลเวินแสนกเฬวราก ที่พรากชีวิตท่านไป... ท่านอา ท่านรู้หรือไม่...แม้แต่ ‘สุยเปี้ยน’ ที่ท่านมอบให้ข้าไว้ ข้าก็ใช้มันโผทะยานไม่ได้อีกเลยแม้แต่ครั้งเดียว
วิหคปีกหักนามเว่ยอู๋เซี่ยนนั้นไซร้ ร่วงลงจมสู่เหลียนฮวาอู้แสนดำมืด
ไม่อาจกลับคืนเป็นนกน้อยรักอิสระที่เจียงเฟิงเหมียนชื่นชมได้อีกครา
.
.
สละปีกแลกกับอาวุธแห่งอัตตา ใช้มันล้างแค้นพวกสกุลเวิน จนหลงลืมการโผบิน
ขาดสติ...จนกระทั่งหลงลืมสิ้น
แม้แต่ประโยคนั้นที่ผู้มีพระคุณเอื้อนเอ่ยให้ได้ยิน
ตอนบินบนกระบี่เหนือเหลียนฮวาอู้ ใต้แสงอัสดงอันงดงาม
“...อาเซี่ยน...
เจียงเฟิงเหมียนผู้นี้ ปรารถนาที่จะเห็นเจ้าโผบินเป็นอิสระตามใจตน
มากกว่าเห็นเจ้าฝืนทนบินตามแต่ใจผู้อื่น... จงจำไว้”
ท่านอา...ข้านั้นไม่อาจทำตามความปรารถนาของท่านได้
แม้ตอนนี้ปีกของข้าจะถูกรักษาจนไม่เป็นไร
แต่อดีตที่ฝังลึกข้างในจิตใจ ก็ยังทำให้ข้าหวาดกลัว
ซ่อนตัวไม่อาจโผทะยานออกจากกรงของหลานวั่งจี
.
.
.
ท่านอา...หลานคนนี้ หวาดกลัวที่จะทำตามความปรารถนาแสนใจดีของท่านอีกครั้งเหลือเกิน
【จบ】
จะรีบไปไหนๆ ถ้าชอบและถูกใจ Fic เรื่องนี้
อย่าลืมส่งมอบคำติชม หรือให้กำลังใจ กับ Suky ได้ที่
『กล่อง Comment ด้านล่าง』
ไม่ต้องสมัคร/ลงทะเบียนให้วุ่นวาย พิมพ์ได้เลย!
หรือ
หากท่านเล่นทวิตเตอร์ เมนชั่นคุยกันใต้ทวีตเรื่องนี้
คลิ๊กตัวอักษรสีฟ้าเลย
ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน Fic เรื่องนี้นะคะ อิอิ
ติดตามผลงาน Fic / นิยาย ของ Suky ได้ที่
- มุมคุยกันกับคนเขียน [ ที่คันปากอยากเล่ายิบๆ ]
ฮรือ อาเตี่ยเฟิงเหมียนของเว่ยอิง
ทำไมต้องถูกพวกสกุลเวินฆ่าทิ้งอย่างอเนจอนาถ
ไม่มีแม้แต่โอกาสได้บอกลาอาเซี่ยน อาเฉิงเลย
แง๊~~~~~~~~
ชอบที่หยิบเรื่องวิหคมาเขียน โดยเฉพาะตอนท้ายที่บอกว่าสละปีกแลกกับพลังมาร ไม่สามารถทำตามความปรารถนาได้ เราว่าพ้อยตรงนี้ค่อนข้างจะสำคัญเลย สมชื่ออู๋เซี่ยนผู้ไร้ริษยาที่ท่านอามอบให้ ไม่เคยปรารถนาอะไรเลยนอกจากทำในสิ่งที่คิดว่าดีที่สุดเพื่อคนสำคัญ ไม่เรียกร้องอะไรเลยด้วย น่าสงสารมาก555 แต่จริงๆคิดว่าความจริงแล้วเว่ยอู๋เซี่ยนอาจจะเข้าใจอะไรผิดไป ทั้งตระกูลเจียงและวั่งจีไม่ใช่กรง แต่เป็นรังที่เรียกว่าบ้านรึเปล่านะ ._.
ตอบลบคือดี~ ชอบมากค่ะ แต่งเก่งเวอร์
ตอบลบน้องงง ฮื้ออออ ขอแค่บอกลากันก็ยังดี ตอนน้องกลับมาพ่อกลายเป็นศพไปแล้ว โถ่!!! อีกอย่าง บักวั่งจี ปล่อยน้อยออกมาค่ะอิผี555
ตอบลบ