Fic 魔道祖师 Mo Dao Zu Shi : สะใภ้...เจ้าโปรดใจเย็น 4/??

Title : Fic 魔道祖师 Mo Dao Zu Shi
Type : Dialouge Parody

Topic : สะใภ้...เจ้าโปรดใจเย็น

Chapter : 4/??

Pair : หลานวั่งจี x เว่ยอู๋เซี่ยน,
Rate : PG 13+


คำเตือน 
  • Fic เรื่องมีความเกี่ยวข้องกับความรักระหว่างเพศเดียวกัน หากมีทัศคติที่รับไม่ได้กรุณากดออก
คำชี้แจง

  • Fic เรื่องนี้ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเนื้อหาหลักใดๆ ของปรมาจารย์ลัทธิจารย์ Mo Dao Zu Shi 魔道祖师 ที่อาจารย์ Mo Xiang Tong Xiu เจ้าของผลงาน เป็นเพียงเรื่องสมมติที่จินตนาการมาจากความคิดผู้แต่ง
  • ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน Fic เรื่องนี้กันนะคะ ถ้าชอบอย่าลืมช่วยกันคอมเม้นท์ โหวต แชร์ ถูกใจ หรือติดตามเป็นกำลังใจให้แก่คนเขียนนะคะ
  • หากมีผิดพลาดประการใด ไม่ถูกใจท่านผู้อ่าน ต้องกราบขออภัยล่วงหน้าค่ะ
  • รักนักอ่านทุกท่านคะ




============================
============================




สะใภ้...เจ้าโปรดใจเย็น

ตอนที่ 4 ความหมายที่แท้จริงซึ่งซ่อนเร้นอยู่ภายใน




...หึ เพ่งมองเข้ากันไป๊! ทำอย่างกับเห็นมัจจุราชมารับวิญญาณ...

ความเงียบถักทอเส้นใย แผ่ขยายผืนการสื่อสารผ่านแววตาไร้วจีใดกล่าวขาน หลากนัยน์ตาหลายความนัยที่เพ่งมองมา มีหรืออย่างอี๋หลิงเหล่าจู่จะดูไม่ออกว่า คนเหล่านี้กำลังคิดวิตกให้รกหัวเรื่องอันใด ชม้ายตาโตคมปราดมองลวกๆไม่สนใจ กระชับกระจาดในมือที่แบกหามเข้าเอวเกยสะโพกทานน้ำหนักไว้ ก่อนกวาดเท้าเดินออกไปอย่างมั่นคง แล้วมุ่งตรงไปหาบ่าวคนหนึ่ง ที่เหมือนพึ่งได้สติหลุดภวังค์ ปรี่มารั้งรับถาดขนมในมือ

“คุณชายเว่ย ข้ายกเองขอรับ” น้ำเสียงนอบน้อมพร้อมโค้งหลังค้อมหัวลง ผงกให้ความเคารพ  ดวงตาโศกเชยตามองร่างโปร่ง ราวเว่ยอิงเป็นเบื้องสูงก็ไม่ปาน ภาพนั้นสะท้อนเข้านัยน์ตาของเหล่าผู้ดูผู้ชม สร้างความแปลกใจฉงนงงกับเรื่องตรงหน้าไม่วางตา

นี่มันละครปาหี่อะไรกัน...

บ่าวไพร่ของกูซูหลาน ต่างมีมารยาทอ่อนน้อมนั้นเข้าใจ แต่ไม่เคยได้ยินว่าผู้ใดให้ความย้ำเกรงเคารพเจ้ากาดำ ซ้ำยังพวกข่าวลือหม่นเทาหนาหูฟังแล้วสนุกปาก ชักนำน่าตั้งวงนินทา ส่วนมากก็มาจากบ่าวไพร่คุยกัน ไม่ก็เงี่ยฟังนายในสกุลหลานแล้วนำไปเล่าปากต่อปากตามประสาคนนั่นแล แล้วทำไมเช้านี้ถึงเปลี่ยนแปร บ่าวไพร่ดูระแวดระวัง พร้อมค้อมรับค่ำสั่งของเว่ยอู๋เซี่ยนผู้นั้นกันได้เล่า!?

“ขอบใจ หลิวเพ่ย หมั่นโถวพวกนี้..ไว้เหล่านายสกุลหลานทานสำรับเช้าเสร็จ เจ้าค่อยกระจายแจกจ่ายวางในสำรับแล้วกัน ให้ท่านละสองชิ้น นอกจากในกระจาดนี้ยังมีในซึงอีก ข้าให้จูจวิงอุ่นไฟอ่อนไว้ เสร็จธุระแล้วรบกวนเจ้าช่วยจัดแจงแบ่งบ่าวไพร่ในเขตรั้วสกุลหลานกินอย่างเท่าเทียมนะ”

“ทราบแล้วขอรับคุณชาย ข้าน้อยซาบซึ้งน้ำใจยิ่ง”บ่าวคนนั้นขานรับคำ ก่อนทุลักทุเลยกกระจาดผละไป ร่างโปร่งพอมือวางทันใดก็ไพล่ไปด้านหลัง หวังคลายปมผ้ากันเปื้อนปลดเปลื้องมันออกมา แต่เพียงชั่วครู่ก็มีร่างหนึ่งมาปลดปมเชือกรัดเอวทันควัน เว่ยอิงผินเอี้ยวเหลือบมองข้างหลัง เห็นหน้าผู้เข้ามาช่วยรั้งปมก็แย้มยิ้มอย่างใจดี “ขอบใจ แม่นางเยว่”

“ข้าน้อยยินดีกระทำเจ้าค่ะ”แม่สาวผู้นั้นเอ่ยตอบเสียงหวาน พรางร่นกายถอยห่าง แล้วตวัดแขนม้วนกระชับผ้ากันเปื้อนในมือไม่ให้กรุ่ยกราย นางผู้ใช่แซ่เยว่ค้อมหลังจนใบหน้าขนานกับพื้น ตลอดระยะทางที่อยู่ในรัศมีเงาของเว่ยอิงย้ำกราย แล้วห่างหายพรุบเข้าไปในซอกหลืบอีคน

หลานฉี่เหรินผู้ทอดมองบ่าวไพร่เจียมตน รับของนี่นั่นจากเว่ยอิงด้วยความฉงนสงสัย คิ้วเรียวของอาวุโสหลานปลายกระตุกยิกๆอย่างพรั่นพรึงในใจ มือเรียวเหี่ยวย่นตามอายุไขลูบไล้เครายาวพิเคราะห์หมายเฉาะความ ก่อนจะทอดมองสำรับอาหารและผ้ากันเปื้อนที่แม่นางเยว่ถอดจากตัวเว่ยอิง ความคิดไม่สิ้นระเกะระกะ จนหลานฉี่เหรินเลือกผละจากความคิด แล้วทอดมองละครชีวิตตรงหน้าต่อไป

เมื่อครั้นสลัดคราบเถ้าแก่โรงครัวเรียบร้อย ดวงตาโตคมก็เหลือบกวาดตามองผู้นั่งอยู่ในห้องโถงช้าๆ เห็นสายตามากมายที่มองมา ก่อนจะเหลือบหยุดที่ดวงตาเรียวคมของหานกวงจวินอย่างสื่อนัยความ ตอบกลับรับแว่วหวงหาจางๆจากหลานจ้านเงียบงัน ว่าไม่มีอันใดพึงน่าเป็นห่วง แล้วตวัดมือนวลยกประสาน เอนกายโปร่งโค้งคำนับคารวะเหล่าญาติพี่น้องสกุลสามีด้วยท่าทีงดงาม แต่ก็สง่าขึงขังสมชายชาญไม่อ่อนแอ่นอรชร ปากเรียวสีกลีบบัวแสยะยิ้มหวาน ทำเอาสันหลังผู้มองสั่นสะดุ้งสะท้านถึงชีพจรให้เต้นผิดจังหวะไปหนึ่งลมหายใจ “ข้าเว่ยอู๋เซี่ยน ขออภัยทุกท่านที่มาร่วมสำรับสาย... ประมุขหลาน ข้าขออภัยที่เสียมารมาทให้ท่านเห็นแล้ว”

น้ำเสียงฉะฉาน ส่อส่งคำขอโทษประณามตนอย่างจริงใจ หลานซีเฉินมองร่างในอาภรณ์ดำขลิบแดง แสนแตกต่างโดดเด่นไม่ซ้ำใครในที่นี้อย่างพึ่งพอใจ แล้วขานกังวานก้องทรงอำนาจตอบรับเจือมีน้ำใจ เชิญให้เข้าที่ฉับพลัน “ไม่เป็นไร คุณชายเว่ย ล่าช้าไม่กี่อึดใจ หาใช่ครึ่งค่อนชั่วยาม ไฉนต้องกล่าวประณามตนให้มากความ เชิญคุณชายเข้าที่นั่งเทิด เราจะได้เริ่มทานกัน”

“ขอบคุณน้ำใจ ท่านประมุข”เว่ยอิงน้อมรับคำ ก่อนสาวเท้าเดินไปทิ้งตัวลงนั่งหน้าสำรับตน ฉับพลันมือใหญ่ของคนนั่งใกล้ ก็วางแหมะลงเหนือตัก พร้อมกับหลานซีเฉินกล่าวสำทับให้เริ่มทาน เว่ยอิงค่อยๆปลดปิ่นไม้เล็กๆคลายมัวผมที่ยกช่อขึ้น ไม่ให้เกะกะรำคาญ ดวงตาโตคมมีรอยคล้ำเหลือบมองเจ้าของดวงตาแสนห่วงใย “อะไรหรือ”

“ไปไหน ทำไมไม่บอก”เสียงทุ้มดุกล่าวเรียบนิ่ง แต่ในดวงตาที่ไหวติ่งเป็นระลอกนั้นบ่งบอกถึงความเป็นห่วงได้ดี แต่กระนั้นคนฟังกลับตอบปัดไม่สบตาหลานวั่งจี มือเรียวหยิบจับตะเกียบและชามน้ำแกงขึ้นคนให้ตะกอนที่เริ่มนอนก้น ลอยแขวนปะปนคืน “ข้าเห็นเจ้าหลับลึกไม่อยากรบกวน”

เมื่อได้ยินดังนั้นคนถามก็ขมวดคิ้ว หลานจ้านแสนมั่นใจในตนเองว่าระแวดระวังตัวเสมอ ยิ่งช่วงใกล้ฟ้าสาง ใกล้เวลาตื่น หากมีอะไรผิดปกติเคลื่อนไหวเพียงนิด หลานวั่งจีจะมีสติพร้อมรับมือกับสิ่งที่พบเจอ แต่การที่เขาตื่นมาเห็นเพียงที่นอนข้างตัวว่างเปล่า เป็นหลักฐานชั้นดีว่า เว่ยอิงต้องตื่นลุกออกไปตอนที่เขายังหลับลึก ซึ่งคงไม่พ้นเช่นช่วงกลางดึกแน่นอน ...นี่เจ้าได้นอนกี่ชั่วยามกัน?

“ตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ไว้ค่อยคุยน่า!”คนที่กำลังตวัดตะเกียบคีบก้อนข้าวเข้าปาก ร้องกระซิบกระซาบระคนห้วนกระแทกอย่างไม่สบอารมณ์ ดวงตาโตคมเหลือบมองคนคุยไม่รู้เวล่ำเวลาอย่างหงุดหงิดใจ แต่นั่นหาทำให้หลานวั่งจีสะท้านไม่ ตอกกลับกระแทกเสียงรังควาญดุ ให้รู้ถึงความคิดตนบ้าง “รู้ใช่ไหม ว่าคนที่นี่ไม่ได้มองเจ้าด้วยสายตาเป็นมิตรน่ะ!

“เจ้าจะห่วงอะไรนักหนา คิดว่าข้ายอมให้ใครทำอะไรง่ายๆรึไง”
“อย่างน้อยก็ควรมีข้าอยู่ด้วย เจ้าจะได้ปลอดภัยไม่มีใครกล้ายุ่งวุ่นวาย”
“หลานจ้าน ข้าเป็นผู้ชาย..เจ้าจะอะ..”

“สำรับเช้าวันนี้ช่างเลิศรสนัก ผู้ใดเป็นคนปรุงกัน”เสียงทุ้มใจดีก้องกังวานไปทั่ว เรียกเอาเว่ยอิงที่หันตัวสะบัดหน้ามาจ้องมองคนขี้ห่วงเกินความจำเป็นต้องรีบชะงักปาก ส่วนหลานวั่งจีที่ทำท่าจะลากคว้าขอมือคนดื้อด้าน ออกไปเสวนาข้างนอก คุยกันให้กระจ่างก็หยุดชะงักเช่นกัน วงวิวาทเล็กๆของสามีภรรยานั้นต้องสงบโดยพลัน เมื่อหลานซีเฉินกล่าวยกยออะไรบางอย่างให้ได้ฟัง ด้วยน้ำเสียงทุ้มสุดแสนปรีดา ถามไถ่สิ่งที่อยู่ในใจชาวกูซูหลานเช้านี้ ซึ่งไม่ใครกล้ากล่าวออกมา อย่างออกหน้าเป็นตัวแทน

คำถามนั้นเรียกให้เหล่าบ่าวไพร่ ที่กำลังจัดแจงถือกาน้ำร้อนทองเหลือง ไล่รินน้ำชงชาบริการเหล่านายท่านสกุลหลาน ต้องกระตุกกาย ก่อนเสตามองสบกันด้วยความพรั่นพรึง ผิดกับเว่ยอิงที่แสยะยิ้มเงียบๆ เมื่อคำนึงถึงเรื่องที่ตนทำก่อนหน้านี้ราวๆสามชั่วยามในโรงครัว


[ หน้าที่ของภรรยา กับข้าวกับปลาต้องรู้เห็นจัดแจง 
ต่อให้เป็นนายหญิงใหญ่มีบ่าวไพร่ก็ต้องตรวจสอบเพ่งดูให้ครบครันไร้ที่ติ ]


...ความหมายแท้จริงซึ่งหลบซ่อนในคำสอน ที่ดูเหมือนไม่มีอะไรซ่อนเร้นนี้...
...ข้าจะขอชี้แจงให้พวกท่านได้เข้าใจ...
.
ความหมายคือ
ให้ภรรยาคุมบังเหียนคนภายใน เชื่อฟังเคารพเลื่อมใส อยู่ใต้อำนาจตน
อย่างไรเล่า



กับข้าวกับปลาแทนเรื่องราวในเรือน บ่าวไพร่เสมือนเครื่องปรุงหุงหอม
หยิบปรุงใช้สอยปริมาณพอดีที่ถูกต้อง อาหารย่อมรสเลิศดีเยี่ยมไม่เป็นรองใคร
ส่วนผู้ตักทานอาหารเข้าปากนั้นไซร้ เสมือนจวนบ้านหลังใหญ่ที่ผู้อื่นเหลือบมองเข้ามา
ถ้าทานอาหารจัดแจงอิ่มหมีถูกต้องตามโภชนา จวนบ้านย่อมดีงามสงบสุขไม่วุ่นวาย


และ..เว่ยอิงได้ควบคุมเหล่าข้ารับใช้ให้อยู่หมัดได้ ภายในชั่วข้ามคืน
ปรับแต่งอาหารจืดชืดของอวิ๋นเซินปู้จื่อฉู่ ให้รสเลิศเข้าที่เข้าทาง
ไม่จืดชืดขมปาก น่าถุยทิ้งอเนจอนาถ เห็นแล้วชวนจากร้างห่างหาย
ซ้ำยังรังสรรค์ รสชาติใหม่ๆให้ลิ้มลองมากมาย
จัดสรรเหล่าเครื่องปรุงวัตถุดิบในครัวเสียใหม่
พนันด้วยสุราสิบไห... ทุกวันต่อจากนี้ไป... กูซูต้องเอร็ดอร่อยแน่แท้ และแน่นอน

หึๆๆๆๆ



ย้อนไปยามอิ๋น

“โอ้ยยยย ง่วงคำพูดอู้อี้พร้อมปากที่อ้าหาววอด ดังมาจากเด็กหนุ่มร่างผอมนาม จิ่วเว่ยเดินลากเท้าพรางสั่นระริกเล็กๆกับความหนาวของม่านหมอกยามเช้ามืด โดยข้างกายมีจูจวิงเด็กหนุ่มที่เตี้ยกว่า กำลังขยี้ตาข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างหนึ่งแสนเลอะเลือนมองทางข้างหน้าอย่างไม่กระจ่างแจ้ง เพราะตนแสนง่วงงุน “เจ้าคิดว่าวันนี้ จะมีใครมาช่วยเราหรือไม่”

“เหอะ นอกจากพี่เยว่เหนียง กับพี่หลิวเพ่ย จะมีใครลุกตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง มาทำข้าวเช้าให้เหล่านายในสกุลหลาน ทานตั้งแต่ย่ำรุ่งได้เล่า จะมาเสนอหน้าแบกเอาไปจัดสำรับก็นู่น... ตอนข้าโกยขี้เถามอดแล้วออกจากเตาน่ะสิ” จิ่วเว่ยเค้นเสียงตอบกลับคล้ายดูหมิ่นชะตาตน กล่าวความจริงไม่บิดพริ้ว ด้วยความที่คนในสกุลหลานมีกฎเกณฑ์ ตื่นแต่เช้าร่วมทานอาหาร อาจดูเปรี่ยมล้นด้วยวินัย แต่มีใครเคยคิดย้อนหรือไม่ ว่ามันกระทบกับวิถีชีวิตบ่าวไพร่ในกูซูเพียงไร ที่ต้องขยับเวลาตื่นนอน ให้ตื่นก่อนหน้านายตื่นถึงสองชั่วยาม เหลือบมองดวงดาวผ่านม่านหมอกของกูซูหลาน มากมายยังคงระยิบระยับสะคราญเต็มฟ้าคราม บวกกับอากาศเย็นวาบหวาบเหมาะแก่ฝันหวานใต้ผ้าห่มอุ่นนักแล แต่เด็กน้อยทั้งสองน่าสงสารแท้ ต้องแงะกระแซะร่างให้ตื่นมาจัดการโรงครัว

ด้วยเหตุนี้... ความเป็นมนุษย์มักขมุกขมัวด้วยกิเลส จิ่วเว่ย และจูจวิงนับอายุได้เป็นเพียงเด็กหนุ่มวัยสิบสามปี น้อยนักที่จะค้านโอวาทผู้ใดได้ จึงมักถูกกดขี่ข่มเหงจากข้ารับใช้ที่โตกว่าให้ทำงานในสิ่งที่พวกเขาไม่อยากทำ หนึ่งในนั้น คือการตื่นก่อนตะวันแจ้งนานนับสองชั่วยาม มาเตรียมก่อฝืนจุดไฟ รวมทั้งล้างถ้วยชามที่คาไว้ หาบน้ำจากริมธารไหลมาเติมไว้ในโอ่งหิน บดพริกไทยเครื่องเทศตระเตรียมการให้เสร็จสิ้น กวาดถูโรงครัวให้สะอาดสะอ้าน หุงข้าวหม้อใหญ่หลายสิบคนทาน พรางเก็บผักเก็บวัตถุดิบปรุงอาหารในปริมาณเลี้ยงดูหลายสิบชีวิตมาจากแปลงดิน พอสิ้นยามอิ๋นเข้ายามเหมา ถึงจะมีหนึ่งหนุ่มหนึ่งสาว คือ เยว่เหนียง กับหลิวเพ่ โผล่หน้ามา ลงมือปรุงกับข้าวกับปลา ซึ่งแค่กะเครื่องปรุง โยนลงหม้อลงกระทะ ผัดคนไปมา ส่วนนอกนั้นเด็กน้อยทั้งสองจะเตรียมไว้ให้พร้อม ทั้งข้าวของ ก่อไฟ หม้อใส่น้ำ วัตถุดิบพืชผักชะล้างไว้เรียบร้อย รวมถึงคอยเป็นลูกมือยกหาบของหนักอีกด้วย

เรื่องราวไม่เป็นธรรมนี้ต่างสืบทอดเรื่อยมารุ่นสู่รุ่น เดิมทีหน้าที่จับกังนี่เป็นของเยว่เหนียง และหลิวเพ่ย แต่เมื่อครึ่งปีก่อนจูจวิงและจิ่วเว่ยอายุมากพอที่จะทำงานทำการ ก็ถูกส่งให้อยู่ใต้อำนาจบัญชาการของพี่ชายพี่สาวสองคนนี้ทันที ซึ่งพวกเขาได้โยนงานจิปาถะต่างๆนาๆมาให้บ่าวผู้น้องราวกับมรดกสืบทอดของน้องพี่ ทั้งสองกระตืนรือร้นสอนงานเด็กชายทั้งสองเร็วรี่ พอวางใจก็ได้ที จึงปรับเวลาตื่นให้ช้ากว่าเดิมทันที

เวลาเจอะเจอบ่าวผู้น้อง นอกจากงานที่ต้องใช้ความระมัดระวัง เช่น จัดสำรับ คิดเมนูอาหาร ปรุงรสอาหาร ทั้งสองก็ใช้วาจาสั่งการเด็กชายราวแขนขาให้ดำเนินงานที่ไม่ต้องการจับต้องไป 

จิ่วเว่ยและจูจวิงจะรอดพ้นคืนวันเหล่านี้ไปได้ ก็ต่อเมื่อมีเด็กรับใช้คนใหม่ส่งเข้ามา วันนั้นสิหนาทั้งสองจะได้หลุดพ้นจากชะตากรรม แล้วขยับไปทำหน้าที่สั่งการ เช่นบ่าวผู้พี่กระทำอยู่ในขณะนี้

เด็กน้อยสองคนต่างพูดคุยเรื่องราวไม่เป็นธรรมอย่างออกรส สะท้อนก้องอารมณ์อดกลั้นฟาดฟันโชคชะตาถึงพริกถึงขิง คลายม่านเทาที่ปกปิดราวความเป็นจริง ขับกล่อมวิถีบ่าวไพร่ของกูซูอันไม่เป็นธรรมไปตามทาง โดยไม่รู้เลยว่ามีดวงตาโตคมสุกสว่างจ้องมองพวกเขาราวกับผีจองเวร

เว่ยอิงแอบเดินตามบ่าวตัวน้อยห่างๆอย่างเรียบเชียบเงียบงัน บนบ่าหาบคานแบกกระบุผักที่เก็บจากแปลงเกษตรหมาดๆนั้น ไม่ได้ส่งเสียงวิกล สร้างความตระหนกแก่สองร่างให้ได้ยิน

โชคช่างเข้าข้างสะใภ้เว่ยอิง ที่พึ่งเก็บผักทำอาหารจากแปลงดิน มาได้ยินเรื่องราวของบ่าวไพร่ พรางขบคิดซักไซร้ไล่แผนการสยบบ่าวไพร่จอมนินทาข้ามหัว มาเป็นบริวารค้อมตัวอยู่ในบังคับบัญชาของตนทันที


...แหม่ๆๆ เป็นนายในจวนสกุลหลานทั้งที ถ้ามัวแต่หลบอยู่หลังเงาสามีจะไปทันกินอะไร๊...

...จริงหรือไม่...ไม่เชื่อลองถามบ่าวไพร่ของข้าดู...














【ตอนที่ 4 - จบ】
โปรดติดตาม ตอนต่อไป



จะรีบไปไหนๆ ถ้าชอบและถูกใจ Fic เรื่องนี้ 
อย่าลืมส่งมอบคำติชม หรือให้กำลังใจ กับ Suky ได้ที่


『กล่อง Comment ด้านล่าง』
ไม่ต้องสมัคร/ลงทะเบียนให้วุ่นวาย พิมพ์ได้เลย! 

หรือ

หากท่านเล่นทวิตเตอร์ เมนชั่นคุยกันใต้ทวีตเรื่องนี้
คลิ๊กตัวอักษรสีฟ้าเลย

ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน Fic เรื่องนี้นะคะ อิอิ




ติดตามผลงาน Fic / นิยาย ของ Suky ได้ที่

============================
============================


ความคิดเห็น

  1. พี่เว่ยน่ากลัววววว มาต่อเร็วๆนะคะ รอออออออ

    ตอบลบ
  2. รออออ

    ตอบลบ
  3. แล้วบ่าวไพร่ก็จะค่อยๆกลายเป็นของพี่เว่ยช้าๆ.... หึหึหึหึหึ

    ตอบลบ
  4. ไม่ระบุชื่อ11 สิงหาคม 2562 เวลา 00:01

    สนุกมากกก รออยู่นะ

    ตอบลบ
  5. ไม่ระบุชื่อ30 สิงหาคม 2562 เวลา 01:58

    แล้วบ่าวไพร่ก็ก็จะแปรพรรคเป็นคนของเว่ยอิงทั้งหมด55555 อยากเห็นสีหน้าเหล่าผู้อาวุโสหลังจากนี้จัง

    ตอบลบ
  6. ไม่ระบุชื่อ2 ตุลาคม 2562 เวลา 11:06

    แส้บมั้ยล่ะสะใภ้กูซู รอดูเลย5555

    ตอบลบ
  7. มันเป็นสะใจ5555555555 โอ้ยยยย ชั้นล่ะชอบจีงๆ

    ตอบลบ

แสดงความคิดเห็น