Fic 魔道祖师 Mo Dao Zu Shi : มหรสพ ความวุ่นวายแห่งสกุลเจียง 3/??
Title : Fic 魔道祖师 Mo Dao Zu Shi
Type : Parody Fiction
Topic : มหรสพ ความวุ่นวายแห่งสกุลเจียง
Chapter : 3/??
คำเตือน
- Fic เรื่องมีความเกี่ยวข้องกับความรักระหว่างเพศเดียวกัน หากมีทัศคติที่รับไม่ได้กรุณากดออก
- Fic เรื่องนี้ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเนื้อหาหลักใดๆ ของปรมาจารย์ลัทธิจารย์ Mo Dao Zu Shi 魔道祖师 ที่อาจารย์ Mo Xiang Tong Xiu เจ้าของผลงาน เป็นเพียงเรื่องสมมติที่จินตนาการมาจากความคิดผู้แต่ง
- ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน Fic เรื่องนี้กันนะคะ ถ้าชอบอย่าลืมช่วยกันคอมเม้นท์ โหวต แชร์ ถูกใจ หรือติดตามเป็นกำลังใจให้แก่คนเขียนนะคะ
- หากมีผิดพลาดประการใด ไม่ถูกใจท่านผู้อ่าน ต้องกราบขออภัยล่วงหน้าค่ะ
- รักนักอ่านทุกท่านคะ
============================
============================
มหรสพ ความวุ่นวายแห่งสกุลเจียง
ตอนที่ 3 : เจ้าก้อนหมั่นโถว เจ้าก้อนซาลาเปา เจ้าก้อนแป้งขาว... ทั้งมวลนั้นคือนามของเว่ยอิง
เสียงลมหายใจแผ่วเบาเป็นจังหวะเข้าออกระยะเท่ากัน พร้อมกับเนินอกเล็กๆขยับขึ้นลงเป็นระลอก
เปลือกตาสีงาช้างหลับพริ้ม แพขนตางามปิดสนิท ทาบบนล่างประสานกัน
จมูกน้อยแดงก่ำเล็กๆรับกับปากจิ้มลิ้มนั้น มีเสียงลมหายใจแผ่วเบาพ่นออกมา
เส้นผมดำขลับดังขนกาคลอเคลียไปกับใบหน้าและดวงแก้มขาวนวลผ่องขึ้นสีฝาดจางๆ
ร่างเล็กติดผอมกว่าเด็กทั่วไปในวัยเดียวกัน ซุกซ่อนทอดตัวนอนใต้ผ้านวมผืนหนา
ที่พาดทับถึงอก ปล่อยแขนและมือน้อยๆเผยพ้นออกมา มือข้างหนึ่งกำหลวมๆวางไว้ข้างศีรษะ
ส่วนอีกมืองอเล็กๆดังอุ้งเท้าเจ้าแมววางทับเหนือผ้านวมตรงหน้าท้อง
ภาพดังเซียนจากสวรรค์ตัวน้อยที่พระโพธิสัตว์ประทานพร ทอดตัวนอนบนฟูกกลางโถงประชุมจวนสกุลเจียง
โดยมีสมาชิกสกุลเจียงนั่งพังพาบกับพื้นทอดมองเด็กน้อยคนละทิศคนละมุม
ครุ่นคิดกับตัวเองอย่างไม่วางตา
เจียงเหยียนลี่สาวน้อยที่ปีนี้ย่างวัยแรกรุ่น ทอดมองเด็กน้อยหลับใหลอยู่กลางโถงด้วยตาที่ลุกวาว
เธออยากเข้าไปจับ สัมผัส ฟัด
และถูไถเนื้อหนังนุ่มนิ่มขาวนวลดังซาลาเปาที่เหล่าเทพไท้ประทานมาเสียให้สาแกใจ
แม่นางเจียงตัวน้อยกอบกุมรั้งมือมารของตนไว้ซุกอก พยายามกระเถิบตัวเองไปนั่งมุมห้อง
หวังทอดมองเหยื่ออันโอชะอยู่ไกลๆในระยะปลอดภัย ด้วยจิตวิสัยที่ขัดแย้งไปมา ในใจประกาศก้องรั้งตัวเองว่า
‘อย่าทำๆ’ ซ้ำไปมาหลายร้อยตลบเพื่อเตือนตนเอง
ถัดไม่ไกลไม่ใกล้ คือ ร่างของคุณชายน้อยสกุลเจียงที่ทิ้งตัวลงนั่งอยู่ตรงโต๊ะประจำตำแหน่ง
คิ้วเรียวขมวดหมุ่น ดวงตาสับสนอลม่านระคนแข็งกร้าว เท้าคางทอดมอง ‘เจ้าก้อนซาลาเปาขาว’ ด้วยสายตาขุ่นใจว่าเมื่อใดจะตื่นจากหลับใหลขึ้นมา ปริศนาที่ว่า เด็กนั่นใช่เว่ยอู๋เซี่ยนหรือไม่
แล้วเหตุไฉนถึงมีสภาพเป็นเช่นนั้น เรื่องราวมากมายอยากไถ่ถามเค้นความให้หายค้างคา วกวนปกคลุมราวเมฆขมุกขมัวในหัวของเจียงเฉิงไม่อาจคลี่คลาย
เมื่อเจ้าก้อนแป้งสีขาวน่าบีบหยิกให้หายคันมือในไซร้ มีเทพคุ้มครองที่เขาไม่อาจต้านทาน
นั่งขนาบสองข้าง ไม่เว้นช่องว่างให้เข้าไปประชิดตัวเขย่าคอปลุกเจ้าตัวสร้างปัญหาให้ตื่นขึ้นมาได้แม้แต่น้อย
ด้านซ้ายของฟูกสีขาว ปรากฏร่างของหญิงสาว ผู้เป็นนายหญิงแห่งสัตตบงกช แขนเรียวกอดอก
ใบหน้างดงามหมดจดแต่งแต้มเครื่องสำอางขมวดคิ้วจ้องมองเด็กน้อยน่าตาน่ารักเกินบรรยายที่หลับใหลไม่วางตา
ความคิดขวักไขว่เต็มไปด้วยปริศนา คำถามทั้งหลายที่ไม่ได้เอ่ยถ้อยคำออกมา แยกออกถี่ถ้วนออกเป็นหลากหลายกรณี...
นี่คือเว่ยอู๋เซี่ยนใช่หรือไม่ เหตุไฉนถึงเป็นเยี่ยงนี้ มีวิธีแก้รึเปล่า
ตื่นขึ้นมาจะรู้เรื่องรู้ราวอะไรบ้าง หากไม่มีทางแก้ไขจะอยู่แบบนี้ตลอดไป
จะมีการเติบโตหรือไม่ หรือจะกลับคืนเยี่ยงเดิมอีกกี่วัน มากมายหลากสิ่งที่อยากรู้
อวี๋จื่อเยวี่ยนถอดทอนหายใจพรูพรางยกมือนวดขมับอย่างอับจนหนทาง
“เฟิงเหมียน ท่านแน่ใจหรือ...นี่อาจไม่ใช่เขาก็ได้”เสียงหวานเปิดประเด็น
ดวงตาคูงามเหลือบมองชายหนุ่มที่นั่งตรงข้าม ประมุขเจียงไม่ได้กล่าวอันใด
สิ่งที่อวี๋ฟูเหรินพูดมาก็ไม่อาจปฏิเสธได้
ตราบใดที่เด็กน้อยตรงหน้ายังไม่ลืมตาตื่น เรื่องราวไม่อาจพิพากษาว่าจะดำเนินไปทิศทางไหนอย่างไรดี
แม้แต่จุดหมาย...ก็ไม่อาจปักหลัก ว่าสุดท้ายควรจบลงเช่นไร
ฝ่ามือใหญ่ยื่นไปสัมผัสแก้มขาวผ่องช้าๆ
ทิ้งน้ำหนักลูบไล้ใบหน้าของเด็กน้อยคล้ายกลัวฉีกขาดบุบสลายทลายลง
หากตนออกแรงมากเกินไป ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงเหนื่อยหน่ายยอมรับจากใจที่ไร้แรง
“ข้า...ไม่รู้อะไรทั้งนั้น ...ไม่รู้อะไรเลย ซานเหนียง
สมองข้าว่างเปล่าไม่อาจคิดอะไรได้อีกแล้ว”
หญิงสาวผู้ร่วมเคียงคู่ชีวิตมาเกินสิบปี
มองภาพสามีผู้อ่อนโยนเต็มไปด้วยไมตรี
ทอดมองร่างเด็กน้อยด้วยแววตาสั่นไหวคล้ายคนสูญสิ้น ไม่ต่างจากคนถูกกระชากหัวใจไปอย่างไร้ทางเยียวยากลับคืน
ด้วยความรู้สึกเหมือนเหล็กร้อนเสียดแทงเข้ามาในจิตใจ อวี๋ฟูเหรินกลบถมความริษยา
ฝังลงไว้ให้ลึกสุดหัวใจ
หลบตาอย่างระอายพรางกันฟันเตือนสติตนไว้ว่านี่ไม่ใช่เวลาโวยวายประชดน้อยเนื้อต่ำใจ
เรื่องราวตอนนี้ก็วุ่นวายเพียงพอแล้ว
รู้อยู่แก่ใจว่ารักเว่ยอู๋เซี่ยนมาก
ความจริงถากถางอยู่ให้เห็นว่าเขายังคะนึงถึงแม่นางคนนั้น คิดว่าตายสิ้นจากกันแล้ว
ตนจะมีความสุขกับเจียงเฟิงเหมียน เยี่ยงสามีภรรยาทุกคืนวัน แต่ทุกอย่างกับพังเพราะเจ้าเด็กนั่น...
...ให้ตายสิสวรรค์!!... ข้าอุตส่าห์รอเวลาให้เว่ยอู๋เซี่ยนเติบโต
รอคอยให้ใบหน้าใสซื่อของเด็กน้อยเลือนหาย รอคอยคืนวันระบายเคืองแค้นโกรธาดุด่าประชดประชัน
จ้องหน้าคล้ายมารดาของมันด้วยความเข็นเคี่ยวแทบตาย
รอคอยที่จะท้วงคืนความแค้นที่เทียบเท่ามารดาของเว่ยอิงไม่ได้ โดยไม่ต้องระวัง ว่าจะทำให้มันเบะปากร้องจ้า
น้ำตาลอเบ้า...
...แล้วทำไมเล่า!? ทำไมกัน!? เหล่าเทพไทเทวา...ทำไมท่านถึงเปลี่ยนชะตาให้เว่ยอู๋เซี่ยนผู้นั้น ย้อนวัยกลายเป็นเด็กกัน
อีกทั้งกลับไปช่วงอายุขัยที่มนุษย์น่ารักน่าชัง และปราศจากมลทินที่สุดด้วยเล่า!!!...
ฮรือ!! อวี๋จื่อเยวี่ยนไม่เข้าใจ!!... แล้วหากเจ้าก้อนหมั่นโถวขาวหนุบหนับนี่ไม่กลับคืนเป็นทโมน แล้วข้าจะทำอย่างไรกับความโสมมในใจข้าดี!!....
…โว้ย ขนาดนอนหลับข้ายังรู้สึกผิดที่ชิงชังเพราะโชคชะตาขนาดนี้
ฉางเซ่อซานเหริน!! นี่เจ้าคลอดยมทูตสีขาวมารับวิญญาณข้าหรือไรกัน!!...
…ข้ากับเจ้ามีเวรกรรมอะไรต่อกันหนักหนาห๊ะ!! ตอบมานะนังตัวดี!!...
“อึ อือ”เสียงครางอื้ออึงเบาๆ เรียกให้หญิงสาวที่กำลังขบเขี้ยวรบราจัดการกับความบ้าคลั่งของตนเองต้องหลุดจากภวังค์
นางมองเด็กน้อยที่ขยับตัวคล้ายโดยรังควาญ เปลือกตาสีงาช้างสั่นไหว
ทำให้ใบหน้างามของอวี๋จื่อเยวี่ยนสะบัดมองสบสามีแล้วแย้มยิ้มให้กันอย่างไม่รู้ตัว
เจียงเฟิงเหมียนที่ยินดียิ่ง ไม่อาจรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงใดๆได้อีกนอกจากร่างเล็กบนฟูกกำลังรู้สึกตัว
มือเรียวของนายเหนือหัวแห่งสกุลเจียงรีบปรี่ยื่นเข้ามาเขย่าตัวของเด็กน้อยเบาๆ
แล้วกล่าวนามด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยน “อาเซี่ยน อาเซี่ยน ตื่นเถอะ อาเซี่ยน”
แว่วเสียงทุ้มสอดแทรกผ่านม่านความมืด สะท้อนก้องในภวังค์สีทึบที่ค่อยๆกระจ่ายหาย
ดวงตาตาโตคมปรือปรับสายตามองภาพไม่คุ้นเคยรอบกาย นัยน์ตาสีเทากวาดมองสิ่งแวดล้อมไม่คุ้นชินมากมาย
แล้วหยุดที่ม่านมู่ลี่มีตราดอกไม้อะไรสักอย่างสีม่วงสวยงามสั่นไหวเพราะต้องลม
พร้อมใบหน้าของชายหญิงที่ตนไม่ทราบว่าเป็นใครกำลังชะโงกมองเหนือตน ฉายแววระคนด้วยความยินดี
สร้างความฉงนแก่ผู้พึ่งตื่นจากหลับใหลนี้ให้งงงวย
...ใครน่ะ...
คำถามแรกที่ฉุดคิดเข้ามาในหัว มโนสติตีกันมั่ว จนต้องหลับตาข่มความปวดหัวที่แทรกขึ้นมาเป็นระลอก
“อาเซี่ยน อาเซี่ยนเป็นอะไร? เจ็บตรงไหนหรือไม่?”
...อาเซี่ยน?...ใคร?...
“เหยียนลี่ไปตามหมอมาที”เสียงสั่งการของอวี๋ฟูเหรินกล่าวบัญชา
เด็กสาวผู้รู้สถานการณ์รีบผุดลุกไปจัดการทันที
ส่วนเจียงเฉิงที่เฝ้ามองสถานการณ์อยู่ห่างๆก็ผุดลุกเดินไปร่วมวงใกล้ฟูกกลางโถง
พรางทอดมองบิดาโอบอุ้มเด็กน้อยที่สวมเสื้อผ้าวัยเยาว์ของตนเองอย่างอ่อนโยนด้วยความตื่นเต้นใจระรัว
เว่ยอิงน้อยเปิดดวงตาโตคมอีกครา ร่างกายที่ถูกโอบอุ้ม สัมผัสได้ถึงไออุ่น จากเจ้าของใบหน้าคม
ที่ทอดมองลงมาอย่างอ่อนโยนยิ่งนัก มโนภาพยังคงสับสน
ร่างเล็กจึงอาศัยสัมผัสตรึกตรอง
...ท่านพ่อหรือ...
“อาเซี่ยน อาเซี่ยน ตอบข้าสิ”เสียงทุ้มอ่อนโยนแปรเปลี่ยนเป็นร้อนรนใจ
เด็กน้อยในอ้อมกอดแม้ลืมตาตื่นจากหลับใหล เหตุใดเหมือนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
ดวงตาโตคมปรือมองคล้ายสะลึมสะลือบั่นทอนความยินดีของเจียงเฟิงเหมียนลดฮวบฮาบทุกชั่วขณะจิต
ใบหน้าที่นิ่งสงบแย้มยิ้มเป็นนิจ บัดนี้ฉาบฉวยไปด้วยความหวาดกลัวและไม่มั่นคง
มือแกร่งของประมุขเจียงสอดรับศีรษะเล็ก ก่อนจะรวบรวมพลังปราณ จัดกระแสให้ไหลเข้าผสานกับปราณของเด็กน้อยวัยเยาว์
ท่ามกลางสายตาของอวี๋ฟูเหรินและเจียงเฉิงมองมาอย่างตื่นตะลึง
ไม่คิดว่าเจียงเฟิงเหมียนจะลงมือเอง
…การถ่ายทอดพลังปราณเข้าร่างผู้อื่น ผู้ที่จะกระทำได้ต้องชำนาญในระดับหนึ่ง
ไม่ใช่เพราะเกื้อประโยชน์ให้แก่ผู้รับ
แต่เพื่อให้ผู้ถ่ายทอดไม่ถูกพลังปราณของผู้รับต่อต้าน สวนกลับมาทำลายจินตันของตนเอง
ขณะที่เปิดช่องว่างระหว่างถ่ายทอดพลัง จนอาจจะพลาดพลังถึงตาย!...
…ท่านพ่อ...ท่านคิดอันใดกับเว่ยอู๋เซี่ยนกันแน่...
คำถามคาแคลงใจของเจียงเฉิงไม่ได้กล่าวออกไป
ทอดมองบิดาค่อยๆกระชับอ้อมกอดรั้ง ร่างของเด็กชายที่พวกเขาเชื่อว่าเป็นเว่ยอู๋เซี่ยนไว้
ก่อนประมุขเจียงจะจรดหน้าผาก ทาบลงกับหน้าผากเล็กของเด็กน้อยที่มีแววตาที่เลือนลอย
แม้จะเจ็บปวดที่พ่อแสดงความรักใคร่ออกนอกหน้ากับบุตรของผู้อื่น ทว่าความรู้สึกเป็นห่วงร่างเล็กไร้สติหวนคืน
ก็กลืนกินคุณชายห้าแห่งเหลียนฮวาอู้กลบอารมณ์ริษยา
มือเรียวของเจียงเฉิงยื่นไปสัมผัสกับมือเล็กที่ตกห้อยลงมาจากตักบิดา แล้วบีบกำพรางเรียกชื่อของผู้ที่เจอชะตาประหลาด
น่าเวทนาเบาๆ “เว่ยอู๋เซี่ยน”
เจียงเฟิงเหมียนหลับตาอย่างตั้งมั่นสมาธิ
จัดการกระแสพลังปราณของตนให้หลั่งไหล
ก่อนสัมผัสถึงพลังปราณของเด็กในอ้อมกอดที่กรรโชกเหมือนจะระเบิดจากภายใน เหตุใดเด็กคนนี้ถึงมีพลังปราณอัดแน่นมากมายพร้อมประทุเช่นนี้กัน
ชายหนุ่มผู้คุมท่าสัตตบงกชค่อยๆผ่อนลมหายใจ ควบคุมกระแสปราณด้วยสมาธิตั้งมั่น ไล่ริ้วพลังตนเข้าไปแทรกแทนที่
จัดสรรฝ่าความกรรโชกปลอบประโลมให้เรียบนิ่งสงบลงอย่างใจเย็น
...เพราะร่างกายกลับคืนเป็นเด็ก
แต่จินตันและพลังปราณไม่ได้หวนคืนไปด้วยตามภาชนะร่างกาย พลังเลยกรรโชกเพราะถูกบีบอัดงั้นหรือ...
“อาเซี่ยน ตื่นเถอะ”เสียงทุ้มกระซิบแผ่วอย่างร้องขอ ดวงตาเรียมคมทอดมองใบหน้าผ่องที่ตนจรดหน้าผากประชิดใกล้
ประมุขเจียงกระชับร่างที่ตนตะกรองกอดไว้
แล้วเคลื่อนหน้าจุมพิตลงบนขมับนวลอย่างอ่อนโยน พร้อมๆกับเข้าถึงแก่นพลังของเด็กน้อยในอ้อมกอด
คิ้วเรียวขมวดมุ่น สัมผัสได้ถึงพลังปราณของเว่ยอิงต้านทานปะทะ
สร้างความเจ็บแปลบแล่นริ้วกระแทกสวนกลับคืนสู่ร่างกายตน ราวกัยว่ามีเข็มไหลวนในกระแสโลหิต
แต่กระนั้นเจียงเฟิงเหมียนก็กัดฟัดทนเริ่มทำการเยียวยาจินตันที่สับสน อย่างยากเย็น
เว่ยอิงสัมผัสได้ถึงกระแสเย็นวาบแทรกแซงเข้ามาในกาย ดวงตาที่เห็นเพียงภาพที่บิดเบี้ยวเหมือนจ้องผ่านระลอกคลื่นของผืนน้ำ
ค่อยๆคลี่คลายอย่างช้าๆ จนกระทั่งตาทั้งสองประจักษ์เห็นใบหน้าของผู้ที่ที่โอบอุ้มตนได้ถนัดตา
พร้อมๆกับนัยน์ตาที่ไร้แววเริ่มเรืองรองสุกใสส่องสกาว ประกาศกร้าวได้อย่างดีว่าเด็กน้อยกำลังได้จิตสติกลับคืน
เจ้าของอ้อมกอดจ้องมองผลงานการฟื้นคืนสภาพจิตใจสำเร็จลุล่วงอย่างที่คาดหมายปรารถนา
จึงเผยยิ้มช้าๆพร้อมกล่าวความขอบคุณฟ้าดินพันครั้งในจิตใจ มือที่ส่งกระแสผสานพลังปราณนั้นไซร้
ผละออกก่อนจะกอดเว่ยอิงน้อยเต็มลักแนบอกแนบตัว จมูกโด่งกดฝังลงบนศีรษะทุย
สูดดมกลิ่นที่คุ้นเคยอย่างย้ำเตือนว่าตนไม่ได้สูญเสียเขาไปอย่างที่หวั่นเกรง
ก่อนดวงตาเรียวคมจะตวัดทอดมองอวี๋ฟูเหรินและลูกชาย ที่แย้มยิ้มกันถ้วนหน้า
กรูเข้ามาเรียกชื่อ ลูบไล้สัมผัสเด็กน้อยอย่างยินดีไม่แพ้กัน
“เว่ยอู๋เซี่ยน!”
“เว่ยอู๋เซี่ยน เจ้าเป็นยังไปบ้าง!”
ดวงตาคู่งามแสดงความฉงนไม่เข้าใจ ดวงหน้าเล็กค่อยๆผินไปมองรอบกาย
ใบหน้าของเด็กหนุ่มผู้คลับคล้าย คนที่ประครองตนวาดยิ้มอย่างยินดี
ก่อนจะกล่าวเรียกชื่อใครสักคนที่ตนไม่เคยได้ยิน “เว่ยอู๋เซี่ยน!”
และแล้วนัยน์ตาสุกสกาวก็มาสบมองที่ดวงตาคู่งามของหญิงสาว ที่พร่างพราวสื่ออารมณ์มากมาย
สุดท้าย...ริมฝีปากที่แห้งเหือดก็เปิดออก เค้นเสียงจากลำคอกล่าวคำถามออกมา
“...พวกท่าน...เป็นใคร...”
“เป็นอย่างไรบ้างคะ ท่านหมอ”เจียงเหยียนลี่ไตร่ถามชายชราน่ายำเกรง ผู้กำลังปลดมือจากแอ่งชีพจรของเด็กน้อยที่นอนแผ่ไร้แรง
พ่นลมหายใจร้อนผ่านปากเล็กๆที่เผยอออก แพทย์ชราหาได้ใคร่สนใจตอบคำถามคุณหนูสกุลเจียง
แต่กลับเลือกที่จะครุ่นคิดกับตนเอง พรางมองตรงไปยังร่างของเจ้าของจวน ที่กำลังปัดไรผมที่ปรกหน้านวลของเด็กน้อยบนฟูกอย่างแผ่วเบา
ดวงตาเรียมคมคู่นั้นหลุบมองด้วยสายตาทอดต่ำห่วงใย
...นี่คือผลมาจากพลังปราณที่ไม่นิ่ง
และการจัดกระแสพลังที่ไม่กระทำโดยแพทย์ผู้ชำนาญอย่างแน่นอน...
“ดียิ่งที่ประมุขเจียงจัดการพลังปราณภายในของเด็กคนนี้ทันท่วงที” แพทย์ชำนาญกล่าวชมอย่างไม่ละสายตา
จากชายหนุ่มที่ตนเห็นมาตั้งแต่เล็ก จนตอนนี้เติบโตเป็นนายเหนือหัวแห่งสกุลเจียงแล้ว
ก่อนจะกอดอกกล่าวคำตำหนิอย่างตรงไปตรงมา “แต่กระนั้น ท่านทราบใช่หรือไม่
ว่าหากพลาดพลั้งเพียงเล็กน้อย ท่านอาจเสียพลัง
ส่วนเด็กคนนี้อาจจะไม่วันฝืนคืนมาอีกเลย”
“เรียนพี่ตง ข้าสำนึกอยู่แก่ใจ จึงกระทำโดยระมัดระวัง
ยอมรับว่าข้าใจร้อนที่ลงมือเองทั้งๆที่ไม่ชำนาญ
แต่ทว่า...ข้าจะปล่อยให้เขาตายจากต่อหน้าต่อตา โดยที่ทราบวิธีรักษาก็ไม่ได้เช่นกัน”
เจียงเฟิงเหมียนประสานมือ ก่อนค้อมหัวคำนับขออภัยอย่างซื่อตรง
กล่าวความจริงให้อวี่ตง หรือ ศิษย์พี่ที่ล่ำเรียนด้านรักษา ให้รับทราบความ
อวี่ตงและเจียงเฟิงเหมียนรู้จักกันมานานตั้งแต่ก่อนกาลในวัยเยาว์
อวี่ตงหรี่ตามองศิษย์น้องตรงหน้า ตวัดมือถูคางและใบหน้าตนอย่างครุ่นคิด เอะใจกับความห่วงหาที่แผ่ออกมาร่างประมุขเจียง
ฉับพลันเสตาทอดมองใบหน้าของเด็กน้อยที่แดงเรื่อด้วยพิษไข้อีกครา นึกห้วนไปในคืนวันไม่อาจย้อนกลับ
แล้วจู่ๆใบหน้าของสาวงามคนหนึ่งก็ซ่อนทับกับเด็กน้อยบนฟูกตรงหน้าตน
...นี่เจ้า ยังไม่ตัดใจจากนางอีกหรือ...เฟิงเหมียน...
แพทย์ชราถอดทอนหายใจ
กล้ำกลืนปลดปลงมองเรื่องราวของผู้คนเป็นไปอย่างไม่อาจต้านทาน เน้นย้ำตรึกตรองกับตนว่า
ชะตาใคร ชะตามัน ถ้าผู้นั้นกำหนดเองไม่ได้ ก็ปล่อยไปตามฟ้าดินลิขิตให้เป็น ก่อนจะหันเบี่ยงตัวไปคุณหนูเจียงผู้อ่อนหวาน
ซึ่งรอคอยคำตอบด้วยสีหน้ากังวล “ไม่มีอะไรน่ากังวลใจขอรับคุณหนู
หลังจากนี้ก็พยาบาลเช็ดเนื้อเช็ดตัว ทานยาและนอนพัก รอไข้ลด ไม่น่าพ้นสองวัน
พิษไข้ก็จะหายสิ้นไม่หวนคืนแน่นอน”
เจียงเหยียนลี่ยกมือทาบอก พรางถอนหายใจแล้วระบายยิ้ม
มองเด็กน้อยบนฟูกอย่างโล่งใจ ทันใดนั้นหูของบุตรีคนโตสกุลเจียง ก็สดับได้ยินเสียงฝีเท้าก้าวเข้ามา
หันมองแล้วปรากฏว่าเป็นร่างน้องชายกำลังประครองถือถังน้ำที่ตนสั่งการให้ไปนำมา
ทำให้นางรีบปรี่ลุกไปรับผ้าจากมืออาเฉิงอย่างช่วยลดความพะรุงพะรัง โดยมีสายตาของอวี๋จื่อเยวี่ยนนั่งทอดมองลูกชายและลูกสาว
ณ โต๊ะของตนเองอย่างใคร่ครวญสถานการณ์ ดวงตาที่ดุดันโกรธเคืองยามจ้องมองเว่ยอู๋เซี่ยน
บัดนี้ตาลปัดกลับไม่แข็งกราวเช่นเคย “เช่นนี้ ท่านทราบหรือไม่เขาจะกลับคืนสภาพเดิมหรือไม่
ท่านหมอ”
“เรื่องราวนี้ประหลาดนัก ข้ายอมรับว่าไม่เคยเห็นอะไรพิสดารเช่นนี้”
อวี่ตงกล่าวอย่างจนใจ ก่อนจะวางมือสางสัมผัสกลุ่มผมดำขลับของเด็กน้อย สัมผัสไอร้อนอย่างนุ่มนวล
“แต่กระนั้นพวกท่านตรวจสอบดีแล้วใช่หรือไม่ ว่านี่คือศิษย์เอกของพวกท่าน
ไม่เป็นแค่เด็กน้อยที่หลับใหลในกองผ้าผวยที่คุณชายเว่ยถอดทิ้งไว้”
เจียงเฉิงที่คุกเข่า ทิ้งตัวลงนั่งร่วมวงล้อมคนป่วยตรงด้านหัวฟูก สดับฟังหมอชราไตร่ถาม
ก็คิดว่าบิดามารดาคงเล่าเรื่องราวเบื้องต้นให้ฟังแล้ว จึงใคร่อาสาอธิบายต่อ พรางกับมองเจียงเหยียนลี่ที่จัดแจงนำผ้าชุบน้ำ
บิดหมาดแล้วเช็ดเนื้อตัวของเด็กน้อย โดยมีอวี่ตงถดตัวถอยออกห่างจากวง
เพิ่มพื้นที่ให้คุณหนูเจียงรับหน้าที่ทำการพยาบาลคนไข้ต่อไป
พร้อมจ้องมองมาที่คุณชายห้าผู้กำลังจะอ้าปากตอบคำถามตน “คล้ายว่าทั้งร่างกาย
ทั้งความจำ ความคิดริอ่าน ย้อนกลับเป็นเด็กสามขวบ”
“เช่นไร คุณชายโปรดขยายความ”
เจียงเฉิงมองสบแพทย์ประจำสกุลครู่หนึ่ง ก่อนยกแขนขึ้นกอดอก แล้วทอนหายใจ เอ่ยวาจาต่อไป
อธิบายเรื่องราว “ตอนที่เขาได้สติ หลังจากท่านพ่อเยียวยาพลังปราณ
ไข้ยังไม่ทันตีขึ้นสูงเพียงนี้ ท่านพ่อ ท่านแม่ และข้าจึงซักถามเรื่องต่างๆนาๆ ได้ความว่าเด็กคนนี้ไม่รู้จักนามรอง ‘เว่ยอู๋เซี่ยน’ และรู้เพียงว่าตนมีชื่อว่า
‘เว่ยอิง’ ก่อนจะร้องจ้าหาพ่อแม่เยี่ยงเด็กน้อยทั่วไป
พวกข้าจึงตีความว่าความทรงจำและการกระทำนึกคิด ย้อนกลับไปเป็นเด็กสามขวบเช่นเดียวร่างกาย
โดยเหตุผลสองประการดังนี้ หนึ่งหากเพราะเขาไม่รู้จักนามรอง
‘เว่ยอู๋เซี่ยน’ ที่เขาได้เมื่อตอนถูกอุปการะเข้ามาสกุลเจียง และสองเขาไม่รู้ว่าบิดามารดาของตนไม่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว”
“...แต่แค่รู้ว่าเด็กคนนี้ คือ ‘เว่ยอิง’ เท่านี้ก็เพียงพอแล้วล่ะ”เสียงทุ้มของเจียงเฟิงเหมียนกล่าวต่อท้าย
ก่อนจะสูดหายใจหลับตาตัดสินใจอะไรบางอย่าง
ผู้นำสกุลเริ่มสำเหนียกตนได้ว่าควรโยนอารมณ์อ่อนไหวทิ้งไป
แล้วหวนคืนสู่บทบาทการเป็นผู้นำตามตำแหน่งของตน
สะสางเรื่องราวโกลาหลนี้ให้เข้าที่เขาทางเสียที
เจียงเฟิงเหมียนลืมตาช้าๆ ก่อนกวาดมองผู้อยู่ในห้องโถง แล้วบัญชาสั่งการ “ไม่ว่าอย่างไร
เด็กคนนี้คือเว่ยอิง เรื่องราวแปลกประหลาดนี่จะจบลงอย่างไร เราต้องรอดูกันต่อไป
สิ่งที่จะทำได้คือประคับประครองเลี้ยงดูเขาเท่านั้น...
..เบื้องต้นหากเรื่องนี้แพร่งพรายความวุ่นวายเกิดขึ้นแน่นอน เป็นไปได้ข้าก็อยากให้ปิดเรื่องเงียบที่สุด ประจวบกับเด็กคนนี้จำได้แค่ว่า ชื่อ ‘เว่ยอิง’ ก็ให้เรียกขานนามนี้ต่อไปเพื่อไม่ให้เขาสับสนก็แล้วกัน
ใครไตร่ถามก็บอกว่าเป็นเด็กจากสายสกุลรองที่ฝากเลี้ยงชั่วครู่ชั่วยาม นามเว่ยอิง...
...อาเฉิง อาเหยี่ยนลี่
เด็กคนนี้พ่อขอมอบหน้าที่ให้พวกเจ้าตามติดดูแลอย่าให้คลาดสายตา”
“ขอรับ/เจ้าค่ะ” บุตรชายบุตรสาวขานรับอย่างแข็งขัน
เจียงเฟิงเหมียนพยักหน้าตอบรับสั้นๆ ก่อนผินมองใบหน้างดงามของภรรยา “ซานเหนียง...”
“อันใด”
“หากเป็นไปได้เจ้าช่วยอบรมเลี้ยงดู สอดส่องมารยาทและความประพฤติ
พร้อมทั้งจัดสรรอาจารย์สอนเด็กช่วงวัยนี้ให้เว่ยอิงได้หรือไม่”
“หึ จะให้เลี้ยงประหนึ่งเริ่มต้นใหม่อย่างงั้นหรือไรกัน”หลังจากได้ฟังภารกิจที่สามีบัญชามา
คิ้วเรียวสวยก็ขมวดมุ่นอย่างไม่เข้าใจ
เหตุใดต้องสั่งการประหนึ่งเว่ยอู๋เซี่ยนไม่มีทางหวนคืนร่างเดิม
“หากเขาไม่มีวันหวนกลับ การทำเช่นนี้ดีที่สุดแล้ว ซานเหนียง...” ผู้เป็นสามีกล่าวเหตุผลเสียงแผ่วอย่างไม่คิดต่อกร
สายตาอ้อนวอนทำให้อวี๋ฟูเหรินยินยอมใจ ก่อนใคร่ครวญตาม
...หากเว่ยอู๋เซี่ยนไม่หวนกลับ หากเว่ยอู๋เซี่ยนเป็นเว่ยอิงน้อยตลอดไป
หากทุกสิ่งต้องเริ่มต้นใหม่...
...นี่ก็อาจจะเป็นโอกาสที่ฟ้าดินมอบให้ข้าได้ละวางความแค้นในใจ ไม่กระทำผิดลงมือชำระแค้นกับเด็กที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวซ้ำอีกครั้งกระมัง...
หญิงสาวงามสง่าค่อยๆลุกยืน ท่ามกลางสายตาสมาชิกเจียงคนอื่นทอดมองนาง
ใบหน้างดงามที่หยิ่งทะนงองอาจปกครองสำนักเจียงสมกับตำแหน่งนายหญิงเสมอมา
เผยความจริงใจและจริงจัง ปราศจากอารมณ์ฉุนเฉียวเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี
“เช่นนั้น...ข้ามีข้อเสนอ...”เสียงของนางกังวาน เรียบนิ่งจริงจัง
ผู้คนในโถงยกเว้นเด็กน้อยที่หลับใหลต่างเงี่ยหูพร้อมสดับฟัง
ก่อนที่จะตะลึงงันกับคำแถลงความอย่างไม่เชื่อหูว่าอวี๋จื่อเยวี่ยนจะกล่าวออกมา
“ถ้าภายในสิบห้าวัน...หากเว่ยอู๋เซี่ยนไม่มีท่าทีย้อนกลับคืนจริงๆ
แล้วละก็..
ข้าก็ขอให้ท่านเปลี่ยนสกุลเขาเป็น ‘เจียง’
หากมีใครไตร่ถามเทียบเคียง ก็บอกว่าเป็นบุตรคนเล็กของประมุขเจียงกับอวี๋จื่อเยวี่ยนผู้นี้ก็แล้วกัน”
.
.
...เอาน่า...การมีลูกหลง ก็เกิดขึ้นให้เห็นกราดเกลือน...
ข้าก็ยังสาวสะพรั่ง จะมีลูกหลงสักคนคงไม่แปลกอะไร...
...เฮ้อ... เสื้อผ้าวัยเด็กของอาเฉิง ข้าสั่งให้บ่าวไพร่เก็บไว้ไหนกันนะ...
------------------------------------------------------------
แก้มขาวคล้ายซาลาเปาน่าสัมผัสแดงเรื่อ ดวงตาโตกลมสีเทาประกายดังจันทรา ทอดมองมาสะกดเจียงเฉิงไว้อยู่หมัดไม่อาจหลีกหนี
ตอนนอนว่าน่ารักน่าหยิกแล้ว แต่พอตอนตื่นแถมเซื่องซึมด้วยพิษไข้นี่ ความรู้สึกเป็น
‘พี่’ ตีตื้นเข้ามาในอกฉับพลัน เจียงเฉิงผู้รับหน้าที่เฝ้าไข้เว่ยอิงในราตรีนี้
รู้สึกว่าตนกำลังจะแตะคำว่านิพพานกลายๆ
หลังจากท่านหมอกลับไป ท่านแม่ประกาศน้ำใจรับเว่ยอู๋เซี่ยนน้อย ที่ไม่มีท่าทีหวนคืนภายในสิบห้าวันเป็นบุตรชายคนเล็ก
ท่านพ่อก็สั่งให้ข้าโอบอุ้มเจ้าก้อนหมั่นโถวขาวทั้งฟูกมาดูแลที่ห้องของตน
หลังจากทำศึกชิงหน้าที่พี่เลี้ยงจำเป็น กับพี่สาวที่ขึ้นเสียงด้วยอารมณ์ให้เห็นเป็นครั้งแรก
เพราะอยากได้เว่ยอิงตัวน้อยไปดูแล แต่ด้วยพรุ่งนี้เช้านางต้องออกเดินทางไปส่งของกำนัลเชื่อมไมตรีในฐานะคู่มั่นคู่หมาย
ท่านพ่อท่านแม่จึงเล็งเห็นว่าหากเจียงเหยียนลี่ได้ไป
นางคงพะวงลูบคล้ำเด็กน้อยไม่หลับไม่นอนด้วยความหลงใหลตลอดคืน
อาจส่งผลให้ภารกิจเชื่อมสัมพันธ์พรุ่งนี้ติดขัดเพราะนางนอนไม่พอ ท่านพ่อจึงกระแอ้มตัดสินยกอาเซี่ยนตัวน้อยให้บุตรชายดูแลแทน
คราแรกเขาก็อยากปฏิเสธ ดูแลเด็กยุ่งยากเหลือหลาย
ไหนจะต้องเช็ดตัวดูแลพยาบาลเรื่องพิษไข้ ไหนจะต้องเอาใจไม่ให้ร้องไห้งอแง
แต่ทว่าเด็กน้อยเว่ยอู๋เซี่ยนผู้นี้กลับน่ารักไม่เรื่องมาก บอกให้ถอดเสื้อก็ถอด
บอกให้เช็ดตัวก็ทำ บอกให้ทานยาก็ทาน แม้จะขมปราดหน้าเหยเกทุกครั้งที่ดื่มกลืน
บอกให้นอนก็นอนไม่ดื้อดึง อาจจะเพราะพิษไข้ทำให้สิ้นฤทธิ์หรือเปล่าก็ไม่อาจรู้
แต่ดูเหมือนว่าบิดามารดาของเว่ยอู๋เซี่ยนค่อนข้างจะเลี้ยงดูให้บุตรรับผิดชอบจัดการเรื่องของตัวเองได้ดี
สังเกตได้จากตอนที่ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า แม้ทุลักทุเลเพราะป่วย แต่ก็สวมใส่ ผูกปมมัดเงื่อนเสื้อกางเกงได้อย่างคล่องแคล่วชำนาญทีเดียว
...อาจจะเพราะเป็นครอบครัวที่ออกปราบปีศาจบ่อยครั้ง
ทิ้งให้เว่ยอิงอยู่บ้านตัวคนเดียวไม่มีบ่าวไพร่รับใช้
เป็นไปได้ว่าการฝึกสอนให้บุตรจัดการเรื่องตนเองเป็น ย่อมสะดวกสบาย
ด้วยเหตุนี้กระมั้ง เว่ยอิงจึงทำเรื่องต่างๆของตัวเองได้
ในขณะที่เด็กวัยเดียวกันยังอ้อนให้ผู้ใหญ่ไล่จับแต่งตัว ป้อนข้าวป้อนยา...
เจียงเฉิงทอดมองเด็กน้อยค่อยๆประครองช้อนด้วยนิ้วทั้งห้าที่จับถือ
ตักข้าวต้มรากบัวเป่า แล้วยกจรดปาก กลืนเข้าไปด้วยตนเอง
เจ้าก้อนหมั่นโถวนี่ตื่นขึ้นมาตอนเข้าหายไปเอายาเอาข้าว หวังว่ารอตื่นก่อนจะบังคับให้กินข้าวกินยาตามที่ท่านหมอกล่าวสั่งการไว้
แต่ทว่า...พอกลับมาก็เห็นว่าเว่ยอิงน้อยตื่นเสียแล้ว เจียงเฉิงพอคิดว่าต้องรับมือกับเว่ยอู๋เซี่ยนคนทโมนร้อยแปดในร่างเด็กน้อยก็อึกอัก
ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรอยู่พักใหญ่
จนเด็กน้อยที่ลุกขึ้นนั่งด้วยใบหน้าแดงเรื่อเพราะพิษไข้เป็นผู้เริ่มการสนทนา
ย้อนไปเมื่อหนึ่งชั่วยามก่อน
‘พี่ชาย.. ที่นี่ที่ไหน’ เด็กน้อยกล่าวถามอย่างใจเย็นเสียงอู้อี้
ดูท่าทีค่อนข้างจะชินกลับการตื่นขึ้นมาเจอคนแปลกหน้า
‘อะ...เอ่อ.. ที่นี่ คือ..สำนักอวิ๋นเมิงเจียง แห่งท่าเรือสัตตบงกชน่ะ’
คนถูกถามตอบอย่างอึกอัก เด็กน้อยที่เค้นความจำ
นึกถึงเมื่อครั้งบิดาเคยวาดผังภูมิศาสตร์ให้ดูบนผืนทราย
ก็ใคร่ครวญตำแหน่งของตนว่าอยู่ส่วนใดบนโลกหล้ากัน
เมื่อมั่นใจแล้วว่าอวิ๋นเมิงที่พี่ชายแปลกหน้าพูดนั้นมีอยู่จริงจึงถามไถ่เรื่องที่คิดว่าต้องรู้ต่อไปด้วยน้ำเสียง
‘แล้ว...พี่ชายเป็นใคร’
‘ข้า...ข้าชื่อเจียงเฉิง เป็นบุตรชายของประมุขเจียง เจ้าสำนักเซียนนี้’
คนถูกถามส่ายตาลอกแลกก่อนจะตอบไปตามตรง พร้อมกับวางถ้วยชาม และขวดยาตรงโต๊ะใกล้ๆ
แล้วหันตัวทรุดนั่งเกยตั่งนอน ที่ตนว่างร่างเด็กน้อยไว้ มือเรียวของเด็กหนุ่มเอื้อมสัมผัสหน้าผากที่ชื้นด้วยเม็ดเหงื่อทันใด
ก่อนจะขมวดคิ้วคาดคะเนได้ว่าไอร้อนจากร่างกายเด็กนี้ไม่ลดลงเลย
‘เว่ย...อิง...’ พี่เลี้ยงจำเป็นกล่าวเรียกเด็กน้อยอย่างไม่เคยปากนัก
ปกติมักเรียกแต่ ‘เว่ยอู๋เซี่ยน’ อยู่ร่ำไป
ครั้นพอมาเรียกชื่อจริงก็รู้สึกยิบยับอย่างไม่สะดวกใจ
รอดูว่าปฏิกิริยาของเด็กน้อยจะเป็นอย่างไร เมื่อเอ่ยนามตามที่ท่านพ่อกำชับลงมา
เด็กน้อยเมื่อได้ยินนามของตน จึงช้อนตาขึ้นมา มองคนที่ผละมืออกจากหน้าผาก
แล้วขานรับอย่างว่าง่ายไม่อิดออดดื้อดึง
‘ขอรับ... เฉิงต้าเก้อ’
สิ้นคำหวานกล่าวแผ่ว คนได้สดับฟังรู้สึกเหมือนตกเข้าไปในห้วงวิมานสีดำ ซึ่งพร่างพราวด้วยดวงดาว
และเงาสะท้อนผืนน้ำใสของเหลียนฮวาอู้สุดลูกหูลูกตาฉับพลัน!!
...เฉิงต้าเก้อ...
.
...เฉิงต้าเก้อ...เฉิงต้าเก้อ...เฉิงต้าเก้อ...
.
...เฉิงต้าเก้อ...
ฉึก!!!!
เจียงเฉิงกุมขยี้สาบเสื้อเหนืออก ทอดมองใบหน้ามนขาวผ่อง รับสองแก้มนุ่มนิ่ม
ขึ้นสีคลายซาลาเปานึ่งจากแป้งเนื้อดี สีแดงเรื่อที่มักมีในงานมงคล สบตาโตคมที่สะท้อนเงาของตนด้วยความสุกใสไหวแววสกาว
คล้ายผิวสุราสะท้อนเงาจันทรา ในคืนไหว้พระจันทร์ก็ไม่ปาน เปลือกตาสีงาช้าปรือกระพือแพขนตาหนาคล้ายง่วงงุนนั้นไซร้
รับกับจมูกเล็กๆที่แดงก่ำเพราะพิษไข้ และปากน้อยๆน่าจุมพิตบดขยี้เสีย จนแทบลืมหายใจ
หลงใหลตกในกิเลส อยากครอบครองเป็นของตนเพียงผู้เดียว
...สวรรค์... ความรู้สึกนี้น่ะหรือ ที่เขาเรียกขานกันว่า ‘ตบะแตก’ ..
( เฮือก!!! ธาตุไฟเข้าแทรก... ศึกแรก
เว่ยอิง ปะทะ เจียงเฉิง : ๑-๐ )
‘อ่ะ...เอ่อ... ขะ..ข้า ข้าแค่จะบอกว่า...เจ้าต้องกินข้าวกินยา...’ เสียงทุ้มสั่นไหวกล่าวไม่เป็นศัพท์ ฉับพลันผุดลุกละล่ำละลักไปคว้าชาวขาวต้มมายัดใส่มือเด็กน้อย
คนป่วยพึ่งตื่นจากหลับใหล หลุบตามองเนื้อข้าวสีขาวเลน แซมด้วยเนื้อ ผัก
และรากบัวฝานบางๆปะปนอย่างงงงวย ก่อนจะโฉบดวงตาคู่สวย มองพี่ชายนามเจียงเฉิงกำลังยกมือปิดปาก
เผยหูแดงก่ำ แล้วเรียกเบาๆ ‘เฉิงต้าเก้อขอรับ’
‘
อะ..อะไร ‘
‘
ท่านพ่อท่านแม่ของข้า... ท่านพ่อท่านแม่ของอาอิง...อยู่ไหนขอรับ ‘
‘
อ่ะ...เอ่อ...’
...ไม่นะ...อย่าเบะปากอย่างนั้นนะ...
‘...ฮึก...อาอิง...ฮึก...จะไปหา...ท่านพ่อท่านแม่... แง๊ (ToT)’
เสียงร้องไห้แผดลั่น ดวงตาสุกใสนั้นปลดน้ำตาที่คลอหน่วยให้หลั่งไหล
มือน้อยยังประครองชามข้าว กำช้อนไว้
แต่ไม่อาจอดใจกลั้นเสียงร่ำร้องโหยไห้ถึงบิดาและมารดา เจียงเฉิงจึงปรี่เข้ามาคว้าดึงชามข้าวและช้อนออกไป
ก่อนจะโอบอุ้มเด็กน้อยขึ้นพาดบ่า เข้าเอวไว้อย่างทุลักทุเล
พี่เลี้ยงจำเป็นกล่าวปลอบประโลมประโคมแถเรื่องราวไปต่างๆนาๆ จนจบลงง่ายๆโดยการ
ที่กล่าวว่า ‘พ่อแม่เจ้าไปออกปราบปีศาจที่ต่างเมืองนานหลายวัน
เจ้าป่วยไข้พวกเขาจึงห่วงใยว่าจะทรุดหนัก จึงฝากฝังไว้ที่สำนักเจียงชั่วคราว
เดี๋ยวอีกไม่กี่สิบวันก็กลับมารับแล้ว’
เมื่อได้เหตุผลที่สมควร เด็กน้อยที่ร้องไห้ แผดเสียงครวญครางก็ค่อยๆกลั้นสะอื้นเงียบลง
หยุดซุกใบหน้าลงที่ไหล่แกร่ง ใช้มือน้อยๆจับบ่าของผู้อุ้ม ก่อนจะยื้อเอนตัวจ้องมองใบหน้าของบุตรสกุลเจียง
กล่าวย้ำด้วยเสียงเล็กๆอย่างขอความมั่นใจ
‘
เฉิงต้าเก้อ...ฮึก...ท่านกล่าวความจริงหรือ ‘
‘
จริงสิ จริง ถ้าข้าพูดโกหก..ข้าขอให้ข้าตกเหลียนฮวาอู้จมน้ำตายเลยเอ้า!!!
‘
...แต่ตอนนี้...เจ้าช่วยหยุดร้องแล้วเลิกมองหน้าข้า
ด้วยสายตาเช่นได้ก่อนได้ไหม...
...ข้ากลัวว่าตัวเองจะพุ่งหลาวโดดลงเหลียนฮวาอู้เสียให้ตาย
กันตะแบกแตกทำมิดีมิร้ายเจ้านี่แหละ...
...เจ้าก้อนหมั่นโถวเว่ยอิงเอ้ย...
【ตอนที่ 3 - จบ】
โปรดติดตาม ตอนต่อไป
จะรีบไปไหนๆ ถ้าชอบและถูกใจ Fic เรื่องนี้
อย่าลืมส่งมอบคำติชม หรือให้กำลังใจ กับ Suky ได้ที่
『กล่อง Comment ด้านล่าง』
ไม่ต้องสมัคร/ลงทะเบียนให้วุ่นวาย พิมพ์ได้เลย!
หรือ
หากท่านเล่นทวิตเตอร์ เมนชั่นคุยกันใต้ทวีตเรื่องนี้
คลิ๊กตัวอักษรสีฟ้าเลย
ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน Fic เรื่องนี้นะคะ อิอิ
ติดตามผลงาน Fic / นิยาย ของ Suky ได้ที่
กรี๊ดดดดดด น่ารักน่าฟัดจริงๆ เว่ยอิงน้อยยยยย
ตอบลบอาเฉิงห้ามข่มขืนอาอิงนะคะ เด้ะผิดกฎ55
ตอบลบเอ....เซียนมีกฎห้ามข่มขืนเด็กป้ะเน้อ55+
น้องดาเมจแลงมาก ชั้นตุยย
ตอบลบ