Fic 魔道祖师 Mo Dao Zu Shi : เหตุใด‘รัก’ถึงยากที่จะเข้าใจ 2/??

Title : Fic 魔道祖师 Mo Dao Zu Shi
Type :  Fiction

Topic : เหตุใด‘รัก’ถึงยากที่จะเข้าใจ

Chapter : 2/??

Pair : หลานซือจุย x หลานจิ่งอี๋


คำเตือน 
  • Fic เรื่องมีความเกี่ยวข้องกับความรักระหว่างเพศเดียวกัน หากมีทัศคติที่รับไม่ได้กรุณากดออก
คำชี้แจง

  • Fic เรื่องนี้ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเนื้อหาหลักใดๆ ของปรมาจารย์ลัทธิจารย์ Mo Dao Zu Shi 魔道祖师 ที่อาจารย์ Mo Xiang Tong Xiu เจ้าของผลงาน เป็นเพียงเรื่องสมมติที่จินตนาการมาจากความคิดผู้แต่ง
  • ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน Fic เรื่องนี้กันนะคะ ถ้าชอบอย่าลืมช่วยกันคอมเม้นท์ โหวต แชร์ ถูกใจ หรือติดตามเป็นกำลังใจให้แก่คนเขียนนะคะ
  • หากมีผิดพลาดประการใด ไม่ถูกใจท่านผู้อ่าน ต้องกราบขออภัยล่วงหน้าค่ะ
  • รักนักอ่านทุกท่านคะ








    ============================
    ============================






    เหตุใด‘รัก’ถึงยากที่จะเข้าใจ


    ตอนที่ 2 : "นี่ เจ้าน่ะ...รู้สึกอย่างไรกับหลานจิ่งอี๋หรือ?”




“หืม...ห้องพวกเจ้าเรียบง่ายดีหนิ”เสียงผู้ย่ำกรายฝีเท้าเข้ามาใหม่ เอ่ยวาจาตามใจดั่งที่เห็น จินหลิงยกมือเท้าเอว สอดสายตามองห้องหับ ที่ตนต้องมาร่วมอาศัยใช้ด้วยนับแต่นี้เป็นต้นไป คาดคะเนกว้างยาวได้ราวด้านละสองจิ้ง (๑ จิ้ง เท่ากับ ๓.๓ เมตร) ดูกะทัดรัดไม่เล็กไม่ใหญ่ไปสำรับสองคน แต่ออกจะอุดอู้ไปสักหน่อยหากตนมาอาศัยเพิ่มอีกหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้แน่นขนัดจนน่าอึดอัดเกินรับไหว อาจเพราะผังห้องที่โล่งโปร่ง อากาศโกรกเย็นสบาย ช่วยบรรเทาความรู้สึกคับแคบได้มากโขเลยทีเดียว

สองด้านซ้ายขวาจัดวางข้าวของราวกับภาพสะท้อน สิ่งของอย่างละสอง เช่น ชั้นวางของ ตู้เสื้อผ้า และฟูกนอนที่พับเก็บเรียบร้อย วางสมมาตรคล้ายใช้คันฉ่องส่องซึ่งกันและกัน โดยจุดที่มาบรรจบกันคือโต๊ะเขียนหนังสือ ที่ตั้งเคียงคู่ ประชิดหน้าโต๊ะเข้าหากำแพงที่เจาะผนังทะลุ เผยทัศนียภาพของสวนกูซูหลังมู่ลี่ทอลายเมฆาคราม 

“ถอดรองเท้าออกก่อน แล้วค่อยเดินขึ้นไปนะขอรับ”เจ้าของห้องเอ่ยเสียงเรียบพรางทำให้ดูเป็นตัวอย่าง หลานซือจุยก้มลงถอดร้องเท้า แล้วหยิบวางไว้ชิดมุมหนึ่งบริเวณหน้าประตูห้อง ก่อนจะก้าวเดินนำเข้าไปอย่างคุ้นชิน มุ่งไปเลิกเปิดมู่ลี่ให้แสงสาดส่องเข้ามา ปัดเป่าความมืดครึมในห้องให้สว่างจ้า พร้อมแสงแดดบ่ายที่ลอดเข้ามาแตะต้องสิ่งของในห้องให้น่ามองยิ่งกว่าเดิม เมื่อเรียวของหลานซือจุยตวัดเชือกรัดกักความสูงม่านลายเมฆาครามไว้อย่างชำนาญ ก่อนจะกลับตัวหันมาจ้องมองผู้ร่วมห้องคนใหม่ ที่เดิดกราดสาดสายตามองสำรวจสภาพแวดล้อมด้วยความสนใจ “คุณชายจิน ท่านมีของมากน้อยเพียงใด”

“ไม่มากเท่าไหร่ ข้าไม่ได้นำบ่าวไพร่มาอยู่รับใช้ด้วย เลยคร้านที่จะดูแลข้าวของมากมาย”คุณชายสองตระกูลกล่าวตามตรง การเอาข้าวของมามากมายหาใช่จะสะดวกสบายเสมอไป ต้องสอดส่องดูแลซ่อมแซมบำรุง ฟังแล้วช่างยุ่งวุ่นวาย หากจะเอาบ่าวไพร่มาติดตามแบ่งเบาภาระเรื่องดังกล่าว ก็กลัวจะโดนสายตาประณามว่าเป็นคุณชายเหลาะแหละทำอันใดด้วยตนเองไม่เป็น อีกทั้งจินหลิงกระจ่างแจ้งถึงนิสัยบ่าวไพร่ดี ไม่ว่าจะข้ารับใช้ฝั่งอวิ๋นเมิงเจียง หรือหลันหลิงจิน ต่างใคร่ประคบประหงมเอาใจเขาเกินเหตุทั้งคู่ ไม่ใช่เพราะอุ้มชูเอ็นดูนายน้อย แต่คอยทำเพื่อเอาหน้าท่านอาผู้เป็นประมุขทั้งสองของเขาต่างหาก

...เห้อ เกิดมาเป็นคุณชายสูงศักดิ์ อาทั้งสองฝั่งเป็นจ้าวตระกูล ชะตาข้าช่างวิบากกรรมเสียนี่กระไร...

“ห้องของเราไม่มีตั่งนอน จึงจำเป็นมากที่ต้องมีฟูก หวังว่าท่านคงนำมา”หลานซือจุยกล่าวในสิ่งที่ตนกังวล ปกติห้องของเหล่าศิษย์กูซูจะไม่มีตั่งนอน เพราะจำนวนที่เพิ่มขึ้นและลดหายแปรเปลี่ยนไม่แน่นอน แล้วแต่วิถีชีวิตแต่ละคนเลือกเดิน ทว่าหากได้ใช้สกุลหลานอย่างเป็นทางการ จะได้ห้องส่วนตัวพร้อมตั่งนอน... หากย้อนมองความจริงแล้ว หลานจิ่งอี๋และหลานซือจุย ศิษย์ในสกุลหลานทั้งสองไม่ควรใช้ห้องหับระดับศิษย์นอกสกุลอีกต่อไป เพราะใช้แซ่หลานมาเนิ่นนาน แต่ทว่าที่เขาทั้งสองต่างปฏิเสธความปรารถนาดี ทั้งจากเจ๋ออู๋จวิน และหานกวงจวินเคยหยิบยื่นมา ก็เพราะว่า...

‘ไม่เอา! ข้าอยากอยู่ห้องเดียวกับเจ้าตลอดไปนี่นา!’

…จิ่งอี๋...ข้า...

ฝ่ามือเรียวกำหมัด ดวงตาเรียวคมสั่นไหวหลุบต่ำมองพื้นฉับพลัน ความสงบเยือกเย็นของอาเยวี่ยนสั่นคลอน คล้ายมีหยดน้ำร่วงลงกระทบสร้างระลอกคลื่นแผ่สะพรั่ง ก่อนที่เด็กหนุ่มจะหลุดจากภวังค์เพราะเสียงเจื้อยแจ้วของคุณชายจิน “ข้าสั่งให้บ่าวไพร่นำมาอยู่แล้ว นอกนั้นก็มีเพียงหีบผ้ากับของใช้ส่วนตัว ว่าแต่...ข้าวปลาข้าสามารถออกไปหาทานข้างนอกได้หรือไม่”

คำถามนั้นเรียกให้เด็กหนุ่มสกุลลหลานอึกอักอย่างนึกคำตอบอยู่ครู่ ทันทีที่เรียบเรียงได้ แล้วจึงตวัดมือที่กำหมัดแน่นไม่อาจคลายไพล่หลัง หลบซ่อนมันสายตาคู่สนทนา เสดวงตาอันเป็นหน้าต่างของจิตใจมองไปทางอื่น ควบคุมน้ำเสียงผ่านก้อนหนืดในลำคอ กล่าวตอบศิษย์สานสัมพันธ์กูซูและอวิ๋นเมิง “ปกติแล้ว มื้อเช้ากูซูมักทำให้ศิษย์ในสำนักครบทุกปากท้อง เริ่มให้ตักทานได้ตั้งแต่ต้นยามเฉิน แต่หากเป็นมื้อค่ำ...มักจัดสรรสำรับให้เพียงแค่คนสกุลหลาน หากท่านต้องการอยู่ร่วมทานโปรดแจ้งให้ข้าทราบล่วงหน้า”

จินหลิงเงี่ยฟัง เหลือบตามองคานห้องเหนือหัวหนึ่งครั้ง ก่อนจะสะบัดมือแสดงตนว่าไม่ใคร่กินหม้อข้าวร่วมเคียง กินเสบียงร่วมโต๊ะกับชาวกูซูเท่าไหร่ คิดย้อนแล้วนึกขยาดตาม คำสาธยายรสชาติของท่านอาสกุลเจียง ผู้เคยเล่าเรียน ณ กูซู เมื่อครั้งเยาว์วัย  ท่านกล่าวว่าหากใครได้ลิ้มลองอาหารกูซูหลานเข้า ต่อให้ข้าวต้มให้ทานโรยเกลือเปล่าๆ คนผู้นั้นก็กล้าจะฉุดกระชากแย่งชิงจากขอทานมากรอกล้างปากอย่างไม่อายฟ้าดิน 

“ไม่ล่ะ ไม่ว่ามื้อไหนข้าจัดหากินเองดีกว่า ปากข้าคงไม่ถูกกับอาหารของกูซูเท่าไหร่”

“เช่นนั้นก็โปรดจงทราบไว้ว่า อวิ๋นเซินไม่อนุญาตให้ยุ่งเกี่ยวกับของมึนเมา ถ้าท่านดื่มสุราน้ำเมาโปรดพักผ่อนข้างนอก รุ่งเช้าค่อยกลับเข้ามา”

“อืม ข้าเข้าใจ”จินหลิงรับคำก่อนจะทอดมองดูของซ้ายขวา โดยมีสายตาของหลานซือจุยลอบสังเกตุท่าทีอย่างเงียบงัน ประเมินพฤติกรรมของศิษย์สานสัมพันธ์แล้ว ดูท่าจะไม่เรื่องมากเหมือนอย่างที่คาดการณ์

...แต่ทว่าจิ่งอี๋ที่ค่อนข้างหวงของ รักสะอาด และอ่อนไหวกับเรื่องจุกจิกมาก จะทนอยู่กับคนช่างโต้อย่างคุณชายจินโดยไม่วิวาทได้สักกี่วันกัน...

ดวงหน้าหวานของคุณชายสองตระกูลกวาดมองสิ่งต่างๆอย่างละเอียดถี่ถ้วน สิ่งของเครื่องใช้ล้วนเรียบง่าย หากเป็นเครื่องเคลือบหรือหินสลัก มักทำลวดลายใช้แนวเส้นสายสีฟ้าขาว นอกนั้นก็เป็นเครื่องไม้สลักประณีตสื่ออัตลักษ์คุณธรรม ตอกย้ำทุกครั้งที่ได้จ้องมอง... เรียบง่ายสมกับเป็นห้องของชายชาญ

จินหลิงสาวเท้าทอดน่องเดินรอบๆ กวาดมองห้องหับให้ทั่วทั้งซ้ายขวา เมื่อสำรวจอยู่พักใหญ่จนพอใจจึงเปิดปากไถ่ถามอีกครา เป็นคำถามที่อาเยวี่ยนมองว่าช่างคิดเลยทีเดียว “แล้ว...ฝั่งไหนของเจ้า ฝั่งไหนของเจ้าของคนหัวร้อนนั่นล่ะ”

“ฝั่งซ้ายของข้า ฝั่งขวาเป็นของจิ่งอี๋ขอรับ”หลานซือจุยชี้แจงพรางกวาดมือผายตาม สิ้นคำจินหลิงก็รุดไปฝั่งซ้ายแล้วด้อมๆมองๆอยู่ครู่ ก่อนจะชี้ไปที่ชั้นวางของด้านล่างที่มีเพียงว่าวกระดาษตัวหนึ่งครอบครองพื้นที่อยู่ “เช่นนั้นข้าขอตรงนั้นวางหีบผ้ากับสัมภาระของข้าก็แล้วกัน”

หลานซือจุยมองการเลือกของคุณชายจิน ที่เลือกใช้พื้นที่ของเขา คล้ายจะหลีกเลี่ยงการปะทะกับจิ่งอี๋อยู่พักหนึ่ง แล้วพยักหน้าอย่างยินยอม แต่ทว่าขณะที่เจ้าของห้องกำลังเตรียมสาวเท้าไปหยิบว่าวตัวนั้นออก ร่างของคุณชายสองตระกูลก่อนทรุดนั่งยองหยิบว่าวที่แน่นิ่งตัวนั้นมาพิศดู

รูปทรงประหลาด ซ้ายขวาไม่สมมาตรเป็นที่สุด กระดาษที่บุจับฝุ่นเขรอะ โครงไม้บิดงอไม่ได้รูป เชือกมัดผูกหลุ่ยรุดผุขาด มองอย่างไรว่าวตัวนี้ก็อเนจอนาถเกินกว่าร่อนถลาบนฟ้ากว้างได้อีกต่อไป คิ้วเรียวของจินหลิงเลิกขึ้นอย่างสงสัย เพ่งมองมันพักใหญ่ ก่อนจะขว้างทิ้งไปด้านหลัง ซือจุยเห็นดังนั้นก็ถลาตัวคว้ารับไว้แทบไม่ทัน ศิษย์สานสัมพันธ์มองพื้นที่ของตนอย่างพึงพอใจ ขณะที่ศิษย์กูซูจับว่าวตัวนั้นด้วยมือที่ทะนุถนอมราวกับของมีค่า หลานซือจุยแปรเปลี่ยนสายตาเป็นอบอุ่นยามจ้องมองว่าวที่ถือ แล้วฉาบมือลูบปัดฝุ่นเบาๆ

“ว่าวนั่นของเจ้าเหรอ” จินหลิงเอ่ยถาม หลังจากสำรวจพื้นที่ของตนเสร็จสรรพ ยันตัวลุกขึ้นแล้วหันมาเจอะเจอคนที่ลากมือลูบคลำว่าวโกโรโกโสด้วยแววตาอ่อนโยน เรียกให้หลานซือจุยเบือนหน้าหลบอย่างเขินอาย กระวนกระวายเมื่อถูกเห็นอารมณ์ที่แท้จริง แก้ต่างโดยการหมุนตัวนำว่าวตัวนั้นไปวางบนโต๊ะเขียนอักษรของตนเองอย่างช้าๆ พรางตอบคำถาม “เปล่าขอรับ... มิใช่ของข้าเพียงผู้เดียว”

“...เอ๊ะ?”

“ข้า...กับจิ่งอี๋ ร่วมกันทำขึ้นมานะขอรับ... เมื่อตอนพวกข้ายังเยาว์วัย” นัยน์ตาเต็มไปดูความรู้สึกคิดถึงวันวาน ทอดมองนอกหน้าต่างอย่างไร้จุดหมาย ความงดงามของสวนประดับภายนอกหาได้ถูกเพ่งมองด้วยความตั้งใจ ดวงตาเรียวคมนึกย้อนไปถึงวันวาน สดับฟังเสียงพูดคุยสนุกสนานของข้าและเจ้าที่ฝังลึกตราตรึง เพียงแค่นึกก็ได้ยินถึงเสียงหัวเราะใสกังวานดังก้องในโสตประสาท ฝันถึงอดีตหลายปีที่เลยผ่าน แม้จะเป็นยามลืมตาตื่นก็ตามที

จินหลิงยกแขนเท้าเอวมองศิษย์กูซูผู้ยกมือไพล่หลัง หันกายทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่าง เผชิญหน้ากับทัศนียภาพพันธ์พฤกษาจัดเรียงแทรกซ้อนด้วยฝีมือธรรมชาติประดิษฐ์ประดอย ใบหน้าหวานของคุณชายจินยักคิ้วหลิ่วตาอย่างครุ่นคิด พรางสาวเท้าไปประชิดใกล้โต๊ะเขียนหนังสือฝั่งของหลานจิ่งอี๋ หยิบเบาะนั่งที่วางอยู่ใต้โต๊ะไม้เนื้อดี มารองก้นแล้วทิ้งตัวลงนั่งชันเข่าข้างอย่างไม่รักษากริยา เอ่ยวาจาตรงไปตรงมา ไตร่ถามข้อสงสัย ไม่ไกล่เกลี่ยสำนวนให้อ้อมคอมต่อหลานซือจุย ด่วยน้ำเสียงจริงจัง

“นี่ เจ้าน่ะ...
รู้สึกอย่างไรกับหลานจิ่งอี๋หรือ?”


________________________________________________



ท่ามกลางความสงบเงียบแห่งใต้ร่มเงาพันธุ์พฤกษายามบ่าย ฝีเท้าหนักแน่นแข็งกล้าปึงปัง ตัดม่านกระฉากหมอกความสงบของอวิ๋นเซินปู้จื้อฉู่ สองเท้ากระโดดก้าวลงจากเฉลียง เดินผ่านต้นหญ้าเขียวขจีไร้วัชพืชงอกแทรกแซง ก่อให้เกิดเสียงซอกแซกเหยียบย่ำเข้าใกล้ เรียกให้เหล่ากระต่ายตื่นตัวสบมอง บ้างก็ฉะเง้อยืนสองขาหูตั้งอย่างระแวดระวัง แต่ทว่าพอพบเห็นรูปลักษณ์ สัมผัสกลิ่นที่คุ้นเคย อันคอยป้อนข้าวป้อนน้ำพวกมันตลอดมา เหล่าสัตว์ชาติปีเถาะพวกนั้นก็สงบลง พร้อมหันไปพะวงดำเนินกิจวัตรของพวกมันต่อไป ไม่ว่ากระโดดต้วมเตี้ยมไปทั่ว เคี้ยวนี่นั่นเต็มแก้มอ้วนตุ่ยๆแสนน่ารักน่าหมั่นไส้ ละเลยเพิกเฉยใส่การมาของผู้ที่ล่วงล้ำอาณาเขต คล้ายว่าหาได้มีใครเดินมา

หลานจิ่งอี๋เคลื่อนกาย ก้าวเดินตวัดชายอาภรณ์ขาวผ่านเจ้ากระต่ายอ้วนทั้งหลายที่กองเรี่ยเท้า ก่อนจะหยุดยืนใต้ต้นหลิวใหญ่อายุร่วมได้เกินร้อยปีแผ่ก้านโรยกิ่งใบปกคลุมสระน้ำเล็กๆที่มีกอบัวใหญ่แพร่พันธุ์ ผลิดอกสะพรั่งเหนือเจ้าปลาคราฟสีทองเวียนว่ายฉาบฉวย ดูแล้วเริงรมย์ให้ใคร่ครุ่นคิดสงบจิตนิ่งชื่นบาน...

...กับสุสานเจ้าสิ โธ่เว้ย!...

ตึง!!!

“หึย!”เสียงหมัดกระทบลำต้นหลิวดังทุ้มต่ำ ผสานไปกับเสียงกลั้นคำรามเผยบอกถึงความหุนหันร้อนใจสงบได้ยากยิ่ง หลานจิ่งอี๋มองกำปั้นตนฝั่งลงปะทะกับเปลือกไม้ต้านทานลมฝนมาร้อยปี ก่อนจะคล่อยๆคลี่มือที่กำแน่นทาบกับลำต้น ณ ตำแหน่งจุดเดิม มองเลือดไหลเยิ้มจากหลังมือ เพื่อให้จิตใจซึมทราบความปวดหนึบของแผลฉกรรจ์ที่หลังมือ หวังให้ฤทธิ์บาดแผลของร่างกายกลบฝังความร้อนรุมในจิตใจ ดวงตาโตคมสั่นไหวก่อนจะสัมผัสได้ถึงความร้อนผ่าวและหยดน้ำใกล้เอ่อล้นในดวงตา ร่างโปร่งขยับเข้าหาต้นไม้พึ่งพิงประจำตัว เอนอิงแนบกายชิดใกล้ราวกับให้ต้นหลิวใหญ่ร่มเย็นช่วยโอบอุ้มตน ที่เหนื่อยล้าจนยากที่จะฝืนยืนต่อด้วยสองขาของตัวเองได้อีกต่อไป

สายลมแผ่วพัดกิ่งหลิวเสียดใบ ส่งสียงคล้ายขับกล่อมปลอบประโลมเด็กน้อยผู้ไถลกายร่วงทรุดนั่งที่โคนต้น พร้อมกับน้ำตาสายแรกที่หลั่งรินอาบใบหน้ามน ด้วยความอดทนที่ทลายลงเช่นเดียวกับทำนบน้ำตา สองแขนที่มักท้าวศักดิ์ศรีไว้ตลอดเวลา ยกขึ้นใช้ชายผ้าปรกมือตวัดไล่ซับความอ่อนแอ ทว่า...ยิ่งปาดน้ำตาให้เลือนหายยิ่งรู้สึกแย่ ดวงตาที่สั่นไหวก็ยิ่งหลั่งไหลเทน้ำตามากกว่าเดิม ศิษย์สำนักกูซูจึงเลือกที่จะล้มเลิกการฝืนทน ต่อแรงสะอื้นที่เขย่าร่างของตนให้สั่นระริก พร้อมปล่อยเสียงร้องไห้ออกมาอย่างไม่คิดละอาย ท่ามกลางเหล่ากระต่าย ที่เริ่มหลั่งไหลเข้าหานายน้อยผู้เลี้ยงดูตนที่ละตัวสองตัว คลอเคลียไปทั่วทิศ ห้อมล้อมแนบชิด คล้ายตอนที่พวกมันมักกระทำเมื่อมีตัวใดในฝูงอ่อนแอ

โดยมีสายตาสองคู่ทอดมองด้วยความฉงนสนเท่ห์ กับพฤติกรรมเผยความอ่อนแอของหลานจิ่งอี๋ ผู้มักเต็มไปด้วยศักดิ์ศรี ไม่เคยก้มหัวยอมใคร...ทั้งสองต่างรู้อยู่แก่ใจดี ว่ามีคนเดียวในกูซูแห่งนี้เท่าแหละ ที่ทำให้หลานจิ่งอี๋ร้องไห้ฟูมฟายได้ไม่ยากเย็น...

“หลานจ้าน ข้าจะไปคุยกับจิ่งอี๋ ส่วนเรื่องภูตผีคฤหาสน์ลับแล คงต้องให้เจ้าไปรับเรื่องจากเจ๋ออู๋จวินคนเดียวแล้วล่ะ”
“อืม” คนฟังตอบรับพยักหน้าเพียงสั้นๆ ก่อนจะตวัดตามองศิษย์ที่ตนเห็นมาเนิ่นนาน พอๆกับช่วงเวลาที่เลี้ยงหลานซือจุย แม้ใคร่สงสัยอยากถามไถ่กล่าวปลอบประโลมใจศิษย์ตัวน้อย ที่ดูแลใกล้ชิดคู่กับอาเยวี่ยนมาแต่ไหนแต่ไร ทว่าภาระงานที่ตนมีนั้นไซร้ บังคับหลานวั่งจีให้ต้องเดินจากไป โดยไม่วายส่งสายตาฝากฝัง ให้คนรักช่วยดูแลศิษย์น้อยสำนักกูซูแทนตนที

เว่ยอิงแย้มยิ้มมองแผ่นหลังของสามี แล้วถอนหายใจหนึ่งที พร้อมรุดหน้ามุ่งตรงไปที่ร่างเล็กใต้ต้นหลิวอย่างเงียบงัน


...หวังว่าคงไม่ใช่เพราะนิสัยเสีย ที่อาเยวี่ยนติดมาจากสันดานพ่อบุญธรรมของมันหรอกนะ...
.
...ไอ้สันดาน ปากไม่ตรงกับใจนั่นน่ะ...
...ฟ้าดินโปรดช่วยหยุดที่หลานจ้านเถอะ อย่าให้อาเยวี่ยนได้ไปเลย...
.
.
.
...ข้ายังอยากเห็นอาเยวี่ยนได้แต่งไปเป็นเขย ก่อนตายอีกรอบอยู่นา...
















【ตอนที่ 2 - จบ】
โปรดติดตาม ตอนต่อไป



จะรีบไปไหนๆ ถ้าชอบและถูกใจ Fic เรื่องนี้ 
อย่าลืมส่งมอบคำติชม หรือให้กำลังใจ กับ Suky ได้ที่


『กล่อง Comment ด้านล่าง』
ไม่ต้องสมัคร/ลงทะเบียนให้วุ่นวาย พิมพ์ได้เลย! 

หรือ

หากท่านเล่นทวิตเตอร์ เมนชั่นคุยกันใต้ทวีตเรื่องนี้
คลิ๊กตัวอักษรสีฟ้าเลย

ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน Fic เรื่องนี้นะคะ อิอิ




ติดตามผลงาน Fic / นิยาย ของ Suky ได้ที่

============================
============================

ความคิดเห็น

  1. แงงงง น่ารักมากๆค่ะ

    ตอบลบ
  2. เมื่อไหร่จะมาต่อ....T//T งือออออ

    ตอบลบ
  3. กลียดความอย่าได้นิสัยพ่อบุญธรรม​ไป55555

    ตอบลบ
  4. คูมไรท์แต่งดีมากๆๆๆๆๆๆๆๆเลยค่ะเราเพิ่งหาอ่านอ่าาชอบมากๆเลย เป็นกำลังใจให้นะคะ❤❤❤❤ รออ่านอยู่น้าาา ชอบคู่นี้มากๆๆๆๆๆเลย เเต่คนเเต่งไม่เยอะอ่ะ รอคุณมาเเต่งต่อนะ สู้ๆๆๆๆๆ✌✌✌❤❤👍👍☀️☀️

    ตอบลบ

แสดงความคิดเห็น