Fic 魔道祖师 Mo Dao Zu Shi : เหตุใด‘รัก’ถึงยากที่จะเข้าใจ 1/??

Title : Fic 魔道祖师 Mo Dao Zu Shi
Type :  Fiction

Topic : เหตุใด‘รัก’ถึงยากที่จะเข้าใจ

Chapter : 1/??

Pair : หลานซือจุย x หลานจิ่งอี๋


คำเตือน 
  • Fic เรื่องมีความเกี่ยวข้องกับความรักระหว่างเพศเดียวกัน หากมีทัศคติที่รับไม่ได้กรุณากดออก
คำชี้แจง

  • Fic เรื่องนี้ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเนื้อหาหลักใดๆ ของปรมาจารย์ลัทธิจารย์ Mo Dao Zu Shi 魔道祖师 ที่อาจารย์ Mo Xiang Tong Xiu เจ้าของผลงาน เป็นเพียงเรื่องสมมติที่จินตนาการมาจากความคิดผู้แต่ง
  • ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน Fic เรื่องนี้กันนะคะ ถ้าชอบอย่าลืมช่วยกันคอมเม้นท์ โหวต แชร์ ถูกใจ หรือติดตามเป็นกำลังใจให้แก่คนเขียนนะคะ
  • หากมีผิดพลาดประการใด ไม่ถูกใจท่านผู้อ่าน ต้องกราบขออภัยล่วงหน้าค่ะ
  • รักนักอ่านทุกท่านคะ
  • งเรื่องสมมติที่จินตนาการมาจากความคิดผู้แต่ง
  • ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน Fic เรื่องนี้กันนะคะ ถ้าชอบอย่าลืมช่วยกันคอมเม้นท์ โหวต แชร์ ถูกใจ หรือติดตามเป็นกำลังใจให้แก่คนเขียนนะคะ
  • หากมีผิดพลาดประการใด ไม่ถูกใจท่านผู้อ่าน ต้องกราบขออภัยล่วงหน้าค่ะ
  • รักนักอ่านทุกท่านคะ








  • ============================
    ============================






    เหตุใด‘รัก’ถึงยากที่จะเข้าใจ


    ตอนที่ 1 : จินหลิง ศิษย์สานสัมพันธ์ของกูซูและอวิ๋นเมิง



“ซือจุย จิ่งอี๋ ต่อจากนี้ คุณชายจินจะเป็นศิษย์ร่วมเรียนรู้ในสำนักกูซูหลาน ข้าจึงเห็นว่าเป็นเรื่องสะดวกดี...หากคุณชายจินได้ใช้ห้องหับอยู่ร่วมกับพวกเจ้า ยามไม่ได้กลับอวิ๋นเมิง เพราะพวกเจ้าทั้งสามคนคงเคยพบปะยามเย่เลี่ยบ่อยครั้ง น่าจะคุ้นเคยกันดี”เสียงทุ้มใจดี พร้อมรอยยิ้มส่อเค้าแววอ่อนโยนแกมเอ็นดู ทอดมองเหล่าเด็กหนุ่มตรงหน้าประสานมือน้อมรับคำสั่ง ก่อนร่างสูงของประมุขหลานคนปัจจุบัน จะปรายตามองเด็กชายในชุดสีทองหรูหราข้างกายพรางพูดคุย “คุณชายจินหลิง ท่านออกปราบปีศาจกับประมุขเจียง... น้าชายของท่านบ่อยครั้ง คงคุ้นหน้าคุ้นตากับเด็กพวกนี้ดียิ่ง หวังว่าจะอยู่ร่วมกับพวกเขาได้อย่างกลมเกลียว”

...กลมเกลียวกะผีน่ะสิ!!....

เสียงประชดประชันจากห้วงความคิดของเด็กหนุ่มสองคน  ประสานตรงกันอย่างไม่มีใครเอื้อนเอ่ยกล่าวออกมา มีเพียงสายตาฟาดฟัน  ราวกับสายฟ้าสองสายลั่นคำราม ประกาศแสงยานุภาพอย่างไม่มีใครยอมใคร หนึ่งคือสายฟ้า ที่ประมุขเจียงแห่งอวิ๋นเมิงมาฝากไว้ อีกหนึ่งคือสายฟ้าของศิษย์ในสกุลหลาน ที่แอบเงยหน้าลอบมอง ‘ตัวปัญหา’ อย่างแสดงความไม่พอใจ ภายใต้หลังมือที่ยกคำนับน้อมรับคำบัญชา

บรรยากาศฟาดฟันขันต่อไร้ผู้อ่อนข้อยอมแพ้ ทำให้เด็กหนุ่ม ผู้อยู่ใต้การอุปถัมภ์ของหยกรองสกุลหลาน เหลือบตามองคนข้างกายหลานซีเฉิน แล้วเจอะเจอกับเด็กหนุ่มแลดูเจ้าสำอางค์ ในชุดสีทองมีตราดอกโบตั๋นหิมะหรูหรา แลเหมาะสมกับการเป็นคุณชายในสกุลร่ำรวย กำลังยกมือกอดอกเหลือบตามองต่ำ ส่งสายตาเย้ยหยั่นดูแคลนแกมเอาแต่ใจไปที่ข้างตัวของตน เมื่อไล่สายตาตามแนวมอง ก็ได้พบกับใบหน้าของจิ่งอี๋ที่ขบเขี้ยวเค้นฟัน อย่างอดรนทนกลั้นอารมณ์ขัดใจไว้ คล้ายกับเสือร้ายติดคล้องบ่วง กำลังแยกเขี้ยวใส่นายพรานผู้ทะลายอิสรภาพที่มันเคยมีไม่เหลือชิ้นดี

“จิ่งอี๋”สหายร่วมสำนักขานนามกระซาบกระซิบ ก่อนคนถูกเรียกจะรับรู้ถึงแรงกระแทกที่เท้าเบาๆ ดวงตาหงุดหงิดเหมือนเสือถูกแหย่ตวัดมองใบหน้าของคนที่ร่วมคำนับรับคำสั่งข้างกาย จึงได้พบกับความขึงขัง คิ้วเรียวขมวดมุ่น แววตาขุ่นมัวไม่เห็นดีกับพฤติกรรมที่ตนกำลังทำ ส่องสบมองตรงมา ก่อนใบหน้าเรียวคมของอดีตคนสกุลเวินจะส่ายไปมาเล็กน้อย เป็นการบอกให้ยุติการกระทำทันที

ผู้ที่ถูกหลานซือจุยห้ามปราม จิ๊ปากไร้เสียงอย่างหลบเลี่ยงสายตาผู้ใหญ่ ก่อนจะหลุบตาลงก้มมองพื้นอย่างไม่พอใจ แม้ไม่ได้ลบเลือนท่าทางกระเหียนกระหือนั้นออกไป แต่กระนั้นบรรยากาศมาคุก็ลดทอน ไม่เด่นชัดเช่นเมื่อครู่ที่ผ่านมา หลานซือจุยเห็นคนข้างๆเชื่อฟัง ก็แย้มยิ้มอ่อนโยนบางๆส่งให้คล้ายปลอบประโลม ทว่าจิ่งอี๋ที่มัวแต่จ้องก้อนกรวดใต้เท้าพรางสบถขรมในใจนั้น หาได้แลสบมองไม่ คนที่ห้ามศึกโดยหยุดทัพฝ่ายตัวเองจึงถอนหายใจเล็กๆ เบนสายตามองสบประมุขหลาน กำลังไตร่ความกับศิษย์กูซูคนใหม่ที่พึ่งรับมาได้ไม่นาน

“ยี่สิบกว่าปีก่อน ที่อวิ๋นเซินปู้จื้อฉู่มิได้มีเพียงเหล่าคนในสำนักกูซูหลาน มีศิษย์ต่างสำนักเซียนมากมาย... หมุนเวียนพลัดเปลี่ยนเข้ามาเรียนรู้ที่นี่ รวมถึงบิดา และน้าชายของท่าน...จินซื่อเซวี่ยน และเจียงเฉิง ก็ร่วมศึกษาที่นี่เช่นกัน”

เมื่อผู้อาวุโสเกริ่นกล่าว คุณชายจินผู้กำลังรู้สึกพึงพอใจกับท่าทีถอยตั้งรับ ไม่โต้สู้ของจิ่งอี๋ ก็เร่งรี่สวมหน้ากากมีมารยาท หมุนหันตวัดมือขึ้นคำนับพรางกล่าวเสียงนอบน้อม “เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ท่านประมุขหลาน อนุญาตให้ข้าเล่าเรียนที่นี่ เฉกเช่นบิดาและน้าชายของข้า”

“เหตุการณ์วุ่นวาย ที่สกุลเวินไล่ทลายสี่สำนักเซียนได้จบลงมาเนิ่นนาน เป็นการดีที่สำนักกูซูหลาน จะเปิดโอกาสให้ผู้อื่นมาร่วมเรียน... ข้าดีใจยิ่งนักที่ท่านเป็นศิษย์คนแรก หลังจากไม่ได้เปิดให้สำนักอื่นมาร่วมเรียนรู้เนิ่นนาน” หลานฮวั่น หรือนามรองซีเฉิน หลานชายคนโตของประมุขหลานคนก่อน กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง ก่อนจะค่อยๆวางมือใหญ่ลงบนบ่าของจินหลิงอย่างคาดหวัง “ประมุขเจียงยินยอมตกลงเจรจา ส่งคนจากสำนักเจียงมาร่วมเรียน ถือว่าเป็นการเริ่มต้นพันธมิตรที่ดีระหว่างสองสำนักเซียน ข้าหวังว่าท่านจะไม่กดดันกับเรื่องนี้มากเกินไป อีกอย่าง...กูซูค่อนข้างจะมีกฎเกณฑ์ให้ปฏิบัติมากมาย คุณชายจินที่ไม่ได้อยู่ตั้งแต่ต้นอาจรู้สึกจุกจิกกวนใจไปเสียหน่อย ก็ขอให้ท่านอดทน”

“ขอรับ ข้าจะจดจำให้ขึ้นใจ”

“หากมีเรื่องขัดสนไม่เข้าใจ ท่านปรึกษาหลานซือจุยและหลานจิ่งอี๋ได้ พวกเขาเป็นคนในสกุลหลาน คุ้นเคยกับที่นี่เป็นอย่างดี” มือเรียวแกร่งผายไปหาศิษย์ในสำนักทั้งสอง ดวงตาโตคมของจินหลิงไล่มอง ก่อนจะใคร่ครวญกับตัวเอง

สำหรับจินหลิงแล้ว หลานซือจุยไม่ใช่ปัญหา เจ้านั้นโอนอ่อนยอมความเขาเสมอ แต่กับศิษย์สกุลหลานอีกคน ที่ยืนทำท่าเหมือนจะตวัดกระบี่มาฟันคอเขาเสียให้ขาดนี่สิ... จำเป็นต้องกำราบให้อยู่หมัดในเร็ววัน มิฉะนั้นหนทางการเรียนที่กูซูอีกยาวไกล คงขรุขระไม่ราบรื่นยิ่งแต่จะทำยุ่งยากน่ารำคาญ

และจินหลิงได้เตรียมแผนการมารับมือกับตัวปัญหาสกุลหลานไว้เรียบร้อยแล้ว

...จุดอ่อนของเจ้าน่ะ ข้ากุมไว้แล้วล่ะ หลานจิ่งอี๋!!...

“เช่นนั้นหากไม่มีอันใดแล้ว ข้าขอตัว”หลังจากเห็นบรรยากาศระหว่างเหล่าเด็กหนุ่มทั้งสาม หลานซีเฉินก็กล่าวขอตัว พร้อมยกมือรับคำนับผู้น้อย แล้วหันเท้าออกเดินไปตามทาง ก่อนจะแย้มยิ้มน้อยใหญ่ กับความน่าเบื่อของกูซูที่กำลังจะแปรเปลี่ยนไปอย่างมีสีสันน่าชม

...หลานซีเฉินย้อนนึกไปถึงวันวานที่รื่นรมย์ ของเหล่าศิษย์ในสำนักทาบถมกับแผ่นหลังของ จินหลิง จิ่งอี๋ และซือจุยอย่างเงียบงัน...

คล้อยหลังประมุขหลาน ท่าทีสำรวมรักษามารยาทก็ผ่อนคลายหดหาย เมื่อทอดสายตามองแผ่นหลังหลานซีเฉิน ห่างไกลพอไม่ได้ยินอะไร คนที่อัดอั้นตัดใจก็เปิดปากทันที “เจ้ามีแผนการอะไรกันแน่!”

น้ำเสียงกระชากไม่รับแขก พรางแยกเขี้ยวขู่ฝ่อของศิษย์สกุลหลานนามจิ่งอี๋ เปิดประเด็นด้วยวาจาระคายหูทันที แล้วจ้องมองดวงตาบนใบหน้าหวานถือดีอย่างหมายเอาความ ผิดกับคุณชายสองตระกูล ที่เมื่อได้ยินน้ำเสียงไม่เป็นมิตร ก็ยกแขนกอดอกแล้วสะบัดปลายผม พรางกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่ยี่ระอย่างก่อกวนคนตั้งคำถาม “เจ้าหูหนวกรึไร? ประมุขหลานพึ่งพูดไปว่า ข้าเป็นศิษย์เชื่อมสัมพันธ์ระหว่างกูซูกับอวิ๋นเมิงน่ะ”

“เห๊อะ เชื่อมสัมพันธ์ หรือล่มสัมพันธ์ คุณชายกินหรูอยู่สบาย มีคนเอาใจพะเน้าพะนอตลอดเวลาเช่นเจ้า จะอยู่ที่สำนักนี้ได้สักกี่วัน ข้าอยากรู้นักเชียว” จิ่งอี๋กล่าวตอบด้วยประโยคเจ็บแสบไม่ลดละ เด็กหนุ่มรู้สึกขุ่นมัวตั้งแต่จินหลิงปรากฏตัวในเขตกูซูหลาน ยิ่งถูกแนะนำว่าเป็นศิษย์เชื่อมสัมพันธ์ของสำนักเจียงที่ส่งมาอย่างเป็นการ ยิ่งทำให้จิ่งอี๋เงยหน้าเอ่ยไถ่ถามฟ้าดินด้วยความน้อยใจ ว่าเหตุไฉนถึงกลั่นแกล้ง ให้ตนต้องมาร่วมชายคาหลับนอน กับไอ้คนที่แค่พบปะก็อยากตะบันหน้าให้หงายเงิบฉับพลันนี่ด้วย

...หึ...อะไรก็ช่างเถอะ...จะกลั่นแกล้งให้ร้องไห้หากจุกตูด กลับไปหาน้าชายที่อวิ๋นเมิงเลย...คอยดู!!

แต่ทว่าวาจาส่อเสียดของจิ่งอี๋ ครานี้คุณชายสองตระกูลไม่ตอบรับ ได้แต่ขบฟันอย่างอดกลั้นเก็บคำด่าทอไว้ในฝัก แล้วตวัดตาทอดมองคนที่กำลังจะห้ามทัพคนสกุลหลานเจ้าอารมณ์ แขนเรียวของจินหลิงก็ปรี่ยื่นตรงไปคว้าหมับ คล้องแขนเด็กชายในปกครองของหานกวงจวินอย่างถือสิทธิ พรางอิงแอบแนบชิดราวกับสนิทกันมาเนิ่นนาน

“ซือจุย!”

“ขะ..ขอรับ คุณชายจิน”เสียงนุ่มทุ้มของคนถูกเกาะแขนกล่าวตะกุกตะกัก อาเยวี่ยนที่ไม่คิดว่าจะถูกจู่โจมเข้ามาคว้าหมับ กล่าวระคนตกใจไม่หาย พรางตวัดสายตาเรียวคมทอดมองคนที่ปรี่มาแนบกาย ส่วนคนที่คว้าแขนแกร่งไว้ได้ก็กล่าวสั่งฉับพลัน “ข้าอยากดูห้องของข้ากับเจ้า เจ้านำทางข้าไปดูได้หรือไม่”

“เอ่อ...คือ” หลานซือจุยอึกอักในลำคอ แต่ทว่าจินหลิงเป็นศิษย์สานสัมพันธ์ ครั้นจะไม่บริการนั้นคงไม่ดี ทำอะไรให้ผิดใจ อาจทำให้ความสัมพันธ์ของกูซูกับอวิ๋นเมิงต้องสั่นคลอน และครานี้ดูเหมือนว่าคุณชายจินไม่ได้ปะทะคารมต่อกรกับจิ่งอี๋ ก็ถือว่าเขาระงับอารมณ์ได้ดี ผิดกับจิ่งอี๋กำลังแผ่รังสีทะมึนไม่หักห้ามอารมณ์

หากชี้ถูกผิดอย่างเหมาะสม... เขาควรเข้าข้างคุณชายจิน

“เถอะน่า! รึว่า...ต้องคอยอยู่ปลอบประโลมเจ้าคนขี้โมโหตรงนั้นกัน หึ! อย่าบอกนะ ว่าโตขนาดนั้นยังต้องให้คนมาโอ๋ปลอบใจ” คำพูดนั้นดังน้ำมันหกราดกองไฟที่ลุกโหม หลานจิ่งอี๋ที่รู้สึกเหมือนโดนขยี้ให้จมพสุธา มือเรียวเอื้อมสัมผัสดาบไม่รอช้า กอบกุมดาบกระบี่สั่นระริกอย่างเก็บงำอารมณ์ที่อยากจะพรั่งพรู ฟันขาวขบกันจนเกิดเสียงเสียดสีเสียววาบขึ้นในหู พร้อมกับเค้นเสียงโกรธแค้นออกมาเบาๆ “จิน...หลิง...”

“แม้ปากพวกเจ้าจะให้เหตุผลว่าสนิทกัน แต่หลานซือจุย...ในสายตาคนนอกอย่างข้า ขอบอกให้เจ้ารู้ตัวก็แล้วกัน เจ้าน่ะ...เหมือนกับขี้ข้าคอยเอาใจคุณชายอย่างเจ้านั่นก็ไม่ปาน”

“...”

“นี่ ซือจุย... จะปล่อยให้สหายร่วมสำนักข่มหัวเจ้าเช่นนี้ต่อไปหรือไรกัน...เป็นแค่เพื่อน แท้จริงน้ั้นควรต้องปฏิบัติต่อกันถึงเพียงไหน... ข้าให้เจ้าลองไตร่ตรองใหม่ดูดีๆ...”

“จินหลิง!!! แก!!”คนที่ได้ฟังคำพูดกรีดแทงหัวใจ เค้นเขี้ยวร้องออกมาอย่างเจ็บใจ จิ่งอี๋กุมด้ามกระบี่ที่ไพล่บนหลัง พรางสะกดใจว่าไม่ให้ชักออกมาปาดคอคนพูดมากเลือดหลั่งรดกูซูหลาน แต่ทว่าคนช่างยุยื้อความ กลับยิ้มเย้ยหยันโยนฝืนเข้ากองไฟ ท้าต่อสู้ยุต่อเรื่องด้วยสายตาพร่างพราวหยามเหยียดไม่เลิกรา“ทำไม!? จะชักดาบก็ให้ไว ข้าอยากกลับไปจัดห้องให้เรียบร้อยก่อนตะวันตกดิน ถ้าไม่แน่จริง... ข้าจะได้ไม่รอประลองกับคนฝีมืออ่อนเช่นเจ้าให้เสียเวลา”

สิ้นคำ โลหะแวววาวสีเงินถูกมือเรียวตวัดชักกระชากออกจากฝัก พร้อมกับร่างของศิษย์สกุลหลานพุ่งปลายกระบี่เข้าหาศิษย์กิตติมาศัพท์อย่างรวดเร็ว แต่ทว่ามือเรียวของจินหลิงยังไม่ได้ทันชักอาวุธประจำตนออกมา เสียงโลหะประสานฟาดฟันของกระบี่เงินแห่งสกุลหลานสองเล่ม ก็กังวานสนั่นก้องทั่วอาณาบริเวณ พร้อมกับดวงตาโตคมของผู้ริเริ่มบรรเลงเพลงดาบ เบิกโพล่งจ้องมองคนที่ประมือ ดันอาวุธต้านทานกับตนด้วยความตกตะลึง

“ซือ..จุย..”

“พอแล้วจิ่งอี๋! กฎบนหน้าผาสลักชัดเจน มิให้มีการทะเลาะเบาะแว้งกัน เจ้าเป็นศิษย์ที่นี่ ใช้แซ่หลานมานาน เหตุใดถึงปล่อยให้อารมณ์นำพา ไม่สำรวมตน!” แม้เสียงทุ้มจะนิ่งเรียบ ไม่กระชากระคายหู แต่น้ำคำเต็มไปด้วยการตำหนิติเตียน กรีดลงใจของของผู้สดับฟังจนเหวอะหวะ จิ่งอี๋รับฟังคำว่าหากล่าวว่าความด้วยหัวใจที่เหมือนแตกสลายช้าๆ ก่อนจะเค้นเสียงถามเจ้าของแววตาคมกริบ ไม่อ่อนโยนเหมือนเช่นก่อนมาแผ่วเบา “ซือจุย...นี่เจ้า...เข้าข้างมัน...งั้นหรือ”

อดีตคนสกุลเวินออกแรงตวัดสบัด แนวกระบี่ของคนตั้งคำถามทิ้ง ก่อนจะพลิกข้อมือ กระชับด้ามดาบ กวาดปลายคม ชี้จ่อหน้าคู่หูร่วมสู้ร่วมเรียนมาเนิ่นนาน แล้วเอ่ยความเกี่ยวกับคุณชายจิน “แม้วาจาของคุณชายจินฟังแล้วระคายหู แต่หากลองพิจารณาดู กลับพบว่ามีเหตุผลกว่าคำพูดส่อเสียดเอาอารมณ์เป็นใหญ่ของเจ้า! คุณชายจินพูดถูกแล้ว...ข้า..เอาใจและยอมเจ้าเกินไปแล้ว..”

“แต่ซือจุย! เจ้านั่นมัน...”

“เจ้ามันไม่รู้จักหัดระงับอารมณ์ใดๆเลยต่างหาก จิ่งอี๋! ครานี้แค่เพียงคำยั่วยุเล็กน้อย เหตุใดถึงต้องเป็นผู้ริเริ่มชักดาบท้าปะลอง หากเป็นจินหลิงที่ไม่รู้กฎในกูซูเป็นผู้เริ่มก่อน ยังพอน่าให้อภัย... แต่เจ้ารู้ทั้งรู้อยู่แก่ใจว่าอะไรควรมิควร กลับเป็นผู้กระทำ!”

“ซือจุย...ข้า...”

“ไปทำหัวให้เย็นลงซะ... วันนี้ ข้าจะพาคุณชายจินไปดูห้อง และไปชมกูซูเอง!”หลานซือจุยตัดบท พร้อมตวัดดาบคมที่จ่อหน้าสหายร่วมสำนักเข้าฝักข้างเอวฉับพลัน ร่างสูงผินกายหันเท้า หมุนตัวกลับหลัง พรางเก็บซ่อนงำแววตาเจ็บปวดที่เผยเพียงชั่วครู่ทันใด แล้วเดินตรงไปหาร่างคนที่มองการแตกคอกันของศิษย์สกุลหลานด้วยแปลกใจเงียบงัน

“คุณชายจิน เชิญ!” จินหลิงสะดุ้งโหยง ทางคุณชายสองตระกูลเองก็ไม่คิดว่า คนในอาณัติของหานกวงจวินผู้นอบน้อมเสมอคนนั้น จะสามารถพ่นคำพูดเจ็บแสบกระสวกใจอย่างที่ได้ฟังได้ แม้จะรู้สึกสำเหนียกสงสารศัตรูขึ้นมาเล็กๆ แต่ร่างของคุณชายสกุลดอกโบตั๋นหิมะ ก็เลือกที่จะละสายตาจากผู้พ่ายแพ้ แล้วสาวเท้าเดินตามแผ่นหลังร่างสูงของศิษย์สกุลหลานที่เริ่มทิ้งระยะห่างไปทันใด

ก่อนจะขบคิดกับตนภายในใจ อย่างเงียบงัน...



....พอเดาได้อยู่หรอกว่า หลานซือจุย คือจุดอ่อนของหลานจิ่งอี๋....
....แต่ไม่คิดว่าจะมีอธิพลกับอารมณ์เจ้านั่นขนาดนี้....
.
.
.
หรือว่า!! หลานจิ่งอี๋...เจ้านั้นจะ.... !!!










ปล.
จินหลิงไม่ใช่มือที่สาม ไม่ใช่นายมารร้าย
แต่รับบทเป็นกามเทพกำมะลอต่างหาก









【ตอนที่ 1 - จบ】
โปรดติดตาม ตอนต่อไป



จะรีบไปไหนๆ ถ้าชอบและถูกใจ Fic เรื่องนี้ 
อย่าลืมส่งมอบคำติชม หรือให้กำลังใจ กับ Suky ได้ที่


『กล่อง Comment ด้านล่าง』
ไม่ต้องสมัคร/ลงทะเบียนให้วุ่นวาย พิมพ์ได้เลย! 

หรือ

หากท่านเล่นทวิตเตอร์ เมนชั่นคุยกันใต้ทวีตเรื่องนี้
คลิ๊กตัวอักษรสีฟ้าเลย

ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน Fic เรื่องนี้นะคะ อิอิ




ติดตามผลงาน Fic / นิยาย ของ Suky ได้ที่

============================
============================

ความคิดเห็น

  1. จะ....จะอะไรคะ.... อย่าปล่อยให้พี่ค้างค่ะน้องจินหลิง รู้อะไรมาก็เล่ามาให้หมด y___y

    เอาจริงตอนน้องเขาเถียงกันรู้สึกเหมือนแมวแหย่กันมากเลยค่ะ แต่เป็นการแหย่ที่รุนแรงมีชักกระบงกระบี่ กระแสไฟฟ้าแล่นเปรี๊ยะๆ มาก เหงื่อตกแทนน้องจุย (แต่น้องจุยก็ไม่เหงื่อตกแถมยังปรับโหมดเป็นกระต่ายดุอีก ฮือ น้องคับ55555555) ตอนน้องกระแทกเสียงใส่คุณชายจิน "เชิญ!" เท่มากๆ กร๊าวมากๆ ซือจุยเวอร์ชั่นดุดันนนน วี้ดดดดดดด ฟหดเงๆๆๆๆ หัวใจบางค่ะ แต่ก็สงสารน้องจิ่งมากๆ น้องหลิงยังอึ้งเลย น้องจิ่งคงน้ำตาตกในสินะ ไม่เป็นไรนะคับ มาให้พี่โอ๋ๆๆๆคับ

    แต่เอาจริงนี่ว่าคุณชายจินพูดจาแรงอยู่นะคะ T____T
    บอกว่าเหมือนน้องจุยเป็นขี้ข้าน้องจิ่ง ปากคอเราะร้ายมาก ได้น้าเจียงมาใช่มั้ย!!! (แต่เอาจริงสายเลือดคุณพ่อก็น่าจะเจ้มจ้นส่งต่อผ่านทางดีเอ็นเอด้วยค่ะ จำได้ว่าในอนิเมะคุณพ่อสะแว้กๆคูลๆเอาเรื่อง ประมาณว่า YOU CANNOT SIT WITH US อะไรแบบนี้55555555 ขำอุแง ไม่เกี่ยวกับเรื่องแต่อะไรไม่รู้ มันน่าจะเชื่อมโยงกันล่ะมั้งนะ)

    ชอบน้องทั้งสามคนเลย แต่ยิ้มกรุ้มกริ่มกับน้องจิน(หลิง)นิดหน่อยเพราะเจ้าตัวเหมือนรู้อะไรมา อย่างที่บอกค่ะน้องจะเก็บงำความลับไว้คนเดียวไม่ด้ายยยยย ยังมีคนอยากรู้อยากเห็นอยู่ตรงนี้อยู่หนึ่งคน ทำไมคิดว่าจุยจิ่งสองคนนี้จะออกแนวบื้อๆล่ะ ยังไงก็ขอฝากความรักของสองคนนี้ไว้กับกามเทพอย่างน้องจิน(หลิง)ด้วยล่ะกันเนอะ ถ้าเขารู้ตัวกันช้ามากๆ ก็แกล้งเยอะๆ เลย สนับสนุน!!!!

    รอติดตามตอนต่อไปค่ะ XD

    ตอบลบ
  2. เอ่อ พี่ว่ามันดูเป็นเชิงให้เลิกคบกันมากกว่านะคะจินหลิงง

    ตอบลบ
  3. รอติดตามอยู่นะคะคุณไรท์ ชอบมากๆเลยค่ะ ภาษาดีมากสื่ออารมณ์ดีมากๆๆๆๆๆเลย ละเราชอบคู่นี้มากเลยอ่ะ เป็นกำลังใจให้นะคะ อ่านเเล้วอ่านอีกค่ะ สู้ๆๆๆ

    ตอบลบ

แสดงความคิดเห็น