Fic 魔道祖师 Mo Dao Zu Shi : มหรสพ ความวุ่นวายแห่งสกุลเจียง 1/??

Title : Fic 魔道祖师 Mo Dao Zu Shi
Type : Parody Fiction

Topic : มหรสพ ความวุ่นวายแห่งสกุลเจียง

Chapter : 1/??


คำเตือน 
  • Fic เรื่องมีความเกี่ยวข้องกับความรักระหว่างเพศเดียวกัน หากมีทัศคติที่รับไม่ได้กรุณากดออก
คำชี้แจง

  • Fic เรื่องนี้ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเนื้อหาหลักใดๆ ของปรมาจารย์ลัทธิจารย์ Mo Dao Zu Shi 魔道祖师 ที่อาจารย์ Mo Xiang Tong Xiu เจ้าของผลงาน เป็นเพียงเรื่องสมมติที่จินตนาการมาจากความคิดผู้แต่ง
  • ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน Fic เรื่องนี้กันนะคะ ถ้าชอบอย่าลืมช่วยกันคอมเม้นท์ โหวต แชร์ ถูกใจ หรือติดตามเป็นกำลังใจให้แก่คนเขียนนะคะ
  • หากมีผิดพลาดประการใด ไม่ถูกใจท่านผู้อ่าน ต้องกราบขออภัยล่วงหน้าค่ะ
  • รักนักอ่านทุกท่านคะ




============================
============================






มหรสพ ความวุ่นวายแห่งสกุลเจียง

ตอนที่ 1 : ความปรารถนาของคุณชายสี่และเทพารักษ์สาวกำมะลอ




“สัตตบงกชผลิดอกหอมขจรไกล~ เอิ๊ก แหะๆ” เสียงร้องเพลงหงุงหงิงจากลำคออ้อแอ้เพราะฤทธิ์สุรา ดังมาจากร่างโปร่งของเด็กหนุ่มศิษย์เอกแห่ง อวิ๋นเมิงเจียงที่คละคลุ้งด้วยกลิ่นเหล้าราวอาบราดตัว ดวงหน้ามนแดงเห่อ สองขาออกเดินโซซัดโซเซ ย่างหนึ่งเท้าก้าวเดินไปข้างหน้า แล้วกลับมาก้าวหลังแท่ดๆถลาถอยไปสองช่วงก้าวเดิน ใครเห็นคงต้องมานั่งประเมินว่าคุณชายน้อยผู้นี้จะถึงจวนก่อนตะวันขึ้นหรือไม่ ยิ่งดำเนินไปบนเส้นทางที่มีหญ้ารกชัฏไร้แสงไฟ ใช้เพียงแสงจันทร์เสี้ยวพร้อมเสียงจิ้งหรีดเรไรนำทาง ผสานกับความคุ้นชินที่เค้นเอาจากความมึนเบลอ เรียกได้ว่าเป็นหัวข้อลงพนันที่ตีคู่สูสีเสมอ ว่าคุณชายเว่ยจะไปถึงกับไม่ถึงสำนักเจียงก่อนตะวันขึ้นฟ้าหรือไม่

ความเอะอะมะเทิ่งด้วยตัวคนเดียวของคุณชายเว่ยดังก้องสะท้อนสองข้างทางที่ซึ่งโอบล้อมด้วยต้นไผ่สูง มองไกลๆคล้ายเป็นอุโมงค์มืดน่ากลัว เรียกได้ว่าหากใจไม่แข็งพอ คงไม่มีใครใคร่ขอใช้ทางลัดที่ลูกบุญธรรมหัวแก้วหัวแหวนของประมุขเจียงเฟิงเหมียน มักใช้กลับสำนักเป็นประจำยามลงไปสรรหาความหฤหรรษ์ ณ ตลาดกลางเมือง แม้จะอายุย่างเข้าสิบสามปีไม่นานมานี้ แต่ดูเหมือนว่าเว่ยอู๋เซี่ยนจะกลายร่างเป็นนักร่ำสุราหาตัวจับได้ยากเสียแล้ว ปรกติเด็กหนุ่มจะยั้งตัวไม่ให้เมามายแทบเดินหัวทิ่มดินถึงเพียงนี้ แต่ทว่าช่วงนี้กลับมีเรื่องให้หนักอกหนักใจคุณชายสี่แห่งสกุลเจียง อย่างไม่อาจเปิดปากปรับทุกข์กับผู้ใดได้

เรื่องหนักใจที่ว่าคงไม่พ้นเรื่องในสกุลเจียง
ยิ่งเติบโต สายตาที่ทอดมองด้วยความเอ็นดูยิ่งเปลี่ยนผัน บัดนี้เว่ยอู๋เซี่ยนนั้นอายุสิบสามปีเต็มแล้ว เรียกได้ว่าเป็นปีเริ่มต้นก้าวสู่วัยหนุ่ม แม้เจียงเฟิงเหมียนยังเอ็นดูอุ้มชูราวกับเลือดเนื้อเชื้อไข แต่คนอื่นหาได้คล้อยตามด้วย

อวี๋ฟูเหริน... นายหญิงแห่งสัตตบงกชที่นับวันเริ่มมอบรอยยิ้มงดงามให้แก่เขาน้อยลงไปทุกที พร้อมกับทวีความพิโรธโกรธเคืองประชดประชันกับเขาจนเรียกได้ว่าแทบทุกครั้งที่พบหน้า อาจจะเป็นเพราะดวงหน้าของเว่ยอิงที่กำลังเข้าสู่วัยเจริญเติบโตเผยภาพซ้อนทำกับใบหน้าของแม่ตน ผู้เป็นอริเก่าฝากแผลใจให้แก่อวี๋จื่อเยวี่ยนอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง อีกทั้งตัวตนของเว่ยอู๋เซี่ยนยังโดดเด่นล้ำหน้าเจียงเฉิง ลูกชายคนเดียวของนายหญิงที่ตกเป็นรองเมื่อเปรียบเทียบกับศิษย์เอกเสมอ นอกจากนี้ลูกบุญธรรมผู้หาใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของนายหญิงยังได้รับการสรรเสริญแบบออกนอกหน้าจากประมุขเจียงบ่อยครั้ง จึงไม่แปลกที่อวี๋ฟูเหรินนับวันจะละความเอ็นดูเขาน้อยลงเข้าไปทุกที

กล่าวถึงเจียงเฉิง ทางนั้นเองแม้จะเป็นมิตรสหายสนิทใกล้กันที่สุด แต่ทว่าไยเว่ยอิงจะไม่รับรู้ความริษยา ความกดดันของศิษย์น้องที่พยายามถีบตนไล่ตามหลังเว่ยอิงมา แต่ทว่าอย่างไรโชคชะตาก็มอบตำแหน่งศิษย์เอกอวิ๋นเมิงเพียงเว่ยอิงอยู่ดี แม้ว่าตัวลูกเลี้ยงผู้นี้จะตั้งใจทำตัวเสเพลไม่ใคร่ฝึกฝนวิชาให้มากนัก ออกพเนจรเที่ยวเล่นหรรษาล่าไก่ป่าไปวันๆ แต่ก็ต้องยอมรับว่าใครต่อใครต้องมองออก ต่อให้เจียงเฉิงเก่งกาจยุทธเพียงใด ทว่าทักษะวางแผนของเจียงเฉิงยังไม่ถึงขั้น ยามเย่เลี่ยเป็นตัวอย่างอันดีที่สะท้อนความใจร้อนไม่ไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนหาต้นเหตุที่มา ศิษย์น้องผู้นี้ชอบจะเผชิญหน้าตั้งรับเข้าสู้อย่างเดียว 

หากเปรียบเปรยก็คือ เจียงเฉิงมักแก้ปัญหาที่โดยการพัดควันเปลี่ยนทิศไปทางอื่นไม่ให้เข้าตาตน แทนที่จะเอาน้ำดับไฟให้รู้แล้วรู้รอด แตกต่างจากเว่ยอิงที่ค่อนข้างจะรอบคอบ... ไม่เปลืองแรงสู้ให้มากแต่ต้องสยบให้ราบคาบในคราเดียว

ด้วยเอกลักษณ์ที่ไม่เท่าเทียมกันนี้ จึงไม่แปลกที่บางครั้งเจียงเฉิงจะชอบตะคอก รวมถึงเล่นแรงๆด้วยความหมั่นไส้กับเขาอย่างไม่รู้ตัว... ยิ่งโดนบิดาไม่เหลียวแล มารดากล่าวประชดยุแหย่ จิตใจคงอ่อนแอ่ รู้สึกท้อแท้น่าดู

ส่วนซื่อเจียผู้แสนดี ศิษย์พี่หญิงผู้เป็นที่เทิดทูนเคารพรักของเว่ยอิงนั้น แม้ดูจะไร้ปัญหา... แต่ทว่าด้วยบัดนนี้เว่ยอิงเติบโตเป็นหนุ่มแล้ว ส่วนศิษย์พี่ก็ถึงวัยใกล้ออกเรือน ยิ่งมีคู่หมั้นคู่หมายอย่างทางการ หากบุรุษเช่นเว่ยอิงจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวใกล้ชิดสุ่มสี่สุ่มห้า มีแต่จะทำให้ศิษย์พี่เป็นมลทินด่างพลอยเสียเปล่าๆ แต่ก่อนตอนเยาว์วัยมีอันใดก็เกาะเกี่ยวอ้อนขอร่ำร้องปรับทุกข์เสมอ แต่บัดนี้จะเปรียบซื่อเจียเป็นกระดองไว้ซุกหัวคงไม่ได้แล้ว กลับกันตัวเว่ยอู๋เซี่ยนผู้นี้ต่างหากควรจะทำตนเป็นเกราะกำบังเรื่องร้ายไม่ให้ย่ำกราย มิใช่หาเรื่องกระทำเรื่องให้ศิษย์พี่หญิงเสื่อมเสีย

ส่วนท่านอาเฟิงเหมียนที่ตอนนี้เบาะแว้งกับอวี๋ฟูเฟรินอย่างรุนแรง จนคนอื่นรู้โดยทั่วกัน ก็ได้แต่มองดูเขาอยู่ห่างๆ ไม่ลงมาช่วยคุ้มกำบังให้มากความเช่นแต่ก่อน หนึ่งคือไว้หน้าฟูเหริน อีกประการหนึ่งคือเขาเติบโตพอแล้วที่จะต้องรู้จักรับมือกับเรื่องราวรอบตัว เรื่องสุดท้ายที่ท่านอาเจียงเฟิงเหมียนมาทุ่มสอนตัวต่อตัวให้ ก็คงเป็นเรื่องการหัดดื่มสุรา ที่ตอนนั้นเขาจำได้ว่าเจียงเฉิงนอนเมาแอ๋ตั้งแต่สองจอกแรก จนท่านอาต้องส่ายหัวอย่างเหนื่อยใจ

ยิ่งคิดยิ่งหนักอึ้งในอก ยิ่งเพ้อพกถึงอดีตหอมหวานยามเยาว์วัยยิ่งนักใจ... แม้ตัวเว่ยอู๋เซี่ยนผู้นี้จะเติบโตเปลี่ยนแปลงไปเท่าใด แต่จิตใจข้างในก็ยังคงเป็นเว่ยอิงเฉกเช่นวันที่ท่านอาเฟิงเหมียนอุ้มเข้าจวนในวันนั้นไม่ผันแปร

ฤทธิ์เหล้าดั่งเตาหลอมร้อนระอุ ไม่ได้ดับความทุกข์ในจิตใจให้ผันผ่านลืมเลือน แต่ยิ่งทำให้สะเทือน ผุดพราย ลอยเอ่อแน่ชัดมากขึ้น จนความทุกข์ในห้วงชีวีนี้ไม่อาจบอกใครทะลักหลั่งครอบงำร่างกาย เว่ยอิงที่หยุดพร่ำเพ้อรื่นเริงเดียวดาย ชะงักฝีเท้า ย่อตัวนั่งลงแล้วก้มมองผืนดินท่วมไปด้วยพงหญ้าอย่างเงียบงัน ก่อนจะยกสองมืออันว่างเปล่านั้นสวมทับกับดวงตาที่ร้อนผ่าว

...อ่า...ข้าอยากกลับกลายเป็นเด็กชะมัด...

“คุณชายน้อย ท่านร้องไห้ทำไมหรือ”เสียงหวานอ่อนโยนแผ่วกระซิบ เรียกให้คนที่หยุดเท้านั่งยองก้มมองพื้นปาดน้ำตาสะดุ้งโหยง พอละสองมือออกก็พบว่าพื้นตรงหน้ากลับไม่ได้มีเพียงกอหญ้าสีทมึน ชายอาภรณ์กลอมพื้นสว่างงดงามราวกับแสงหิ่งห้อยนี่คือของผู้ใดกัน!? พอคิดได้ดังนั้นคงที่สร่างเมาฉับพลันก็ตวัดหน้าเงยมองผู้ที่มายืนตรงหน้า จนคอแทบหักทันใด

เสียงหัวเราะคิกคักพร้อมกับใบหน้าจิ้มลิ้มแย้มยิ้มยกชายเสื้อกรอมมือปิดปากราวกับคุณหนูสกุลผู้ดี เรียกให้เว่ยอิงผู้ไร้สติร้องเหวอตัวกระตุกทิ้งก้นนัางจ้ำเบ้ากับพื้นหญ้าอย่างตกใจ

“หว่า! คุณชาย! ท่านเจ็บรึไม่”หญิงสาวนิรนามผู้เปล่งเสียงคิกคักหวานก้องกังสดาลหูเปล่งร้องอย่างตกใจ เมื่อคุณชายน้อยของเธอทิ้งตัวลงนั่งแอ่งแม้งกับพื้นหญ้าก่อนถอยกรูดออกห่างด้วยสายตาเบิกโพล่ง ในใจของเว่ยอิงผู้สิ้นฤทธิ์สุราย่ำกราย ยกมือตบหน้าตนเบาๆก่อนจะเพ่งมองหญิงสาวตรงหน้า

...ผี หรือคน...
...ทำไมเปล่งแสงสีเขียวพิกลเยี่ยงหิ่งห้อยอย่างนั้น...
...หรือนางจะเป็นเทพยดา...
...หรือว่าข้าตายแล้ว!?...

หญิงสาวเปล่งแสงประหลาด ราวกับดวงประทีปโคมกระดาษสีขาวอัดแน่นด้วยฝูงหิ่งห้อย เอนหน้าเอียงคออย่างใคร่สงสัย มองคุณชายน้อยขี้เมายามวิกาลที่นั่งถอยห่างจากตนบนพื้นหญ้า ตาเหลือกปากค้างอย่างน่าเวทนาด้วยความสนใจ คิ้วเรียวสวยขมวดหมุ่นอย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะโบกมือไม้เรียวขาวใต้อาภรณ์งดงามหยดย้อยเหนือหัวไปมา “คุณชาย! สวัสดี คุณชาย! ยู้ฮู้ว... ท่านเห็นข้าใช่ไหม ข้ารู้น๊าว่าท่านเห็นข้าน่ะ! เอ้...หรือว่าเขาจะหูหนวก”

เว่ยอิงที่มองดูหญิงสาวงดงามแต่แปลกประหลาดตาค้างสติหลุด อยากจะผุดลุกยืนแต่ทำไมไม่รู้ราวกับขาทั้งสองมันอ่อนเปลี้ย ออกเย่เลี่ยกับท่านอามานับครั้งไม่ถ้วน ผีมารปีศาจกี่สิบหัวก็สะบัดกระบี่ฆ่าล้างมาแล้ว แต่เหตุใดกัน!?... ทำไมตัวข้ารู้สึกปฏิเสธนางไม่ได้

...แล้ว! นี่นางหายไปไหนกัน!...

“คุณชาย!!!!!”ไม่ทันตั้งตัว เสียงหวานสูงทะลุแก้วหูกระชากวิญญาณดังประสานสนั่นราวกับมีคนนับสิบกรีดร้องก้อง เหมือนพายุภักษ์กระชากสมองของเว่ยอิงให้หลุดหาย เด็กหนุ่มรีบตวัดหน้าหันมาเพ่งมองร่างหญิงสาวไร้นามด้านหลังทันใด ก่อนจะปะกับดวงหน้าผ่องใสงดงามห่างกันไม่ถึงหนึ่งฝ่ามือ

“เหวอ!

“อือหึ! หูก็ไม่ได้หนวกนี่นา”หญิงสาวที่ค้อมตัวท้าวเอวขอด ยื่นหน้าเพ่งมองคุณชายน้อยรูปงามที่เหมือนจะมีสติกลับคืนมาแล้ว ก่อนยื้อกายขึ้นมาตั้งตรงเหมือนเดิม พร้อมกับใบหน้างามทอแสงสว่างสีเขียวอ่อนจะพยักหน้า แล้วคุยย้ำพร่ำบอกมั่นใจกับตนเองให้มั่นใจว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าหูได้ยินปกติ ส่วนคุณชายสี่สกุลเจียงที่ได้สตินึกคิดคืนมา ก็หาเสียงของตัวเองเจอ แล้วขยับปากเรียวไตร่ถามหญิงนิรนาม 

“ท่าน...ท่านไม่ใช่คน...ใช่หรือไม่”

“ไอหยา~ คุณชายช่างเก่งนัก เช่นนี้คุยกันง่ายหน่อย”หญิงสาวผู้เป็นอมนุษย์ไม่ได้ระบุพวกได้ยินดังนั้นก็ยกมือตบอย่างพึงพอใจ ก่อนจะลอยหวือสะบัดมือเสกลมหอบใหญ่ดันตัวให้คนนั่งพังพาบอยู่บนพื้นหญ้าเปียกน้ำค้างลุกขึ้นยืนดีๆ โดยเจ้าของร่างโปร่งได้แต่รู้สึกไม่อาจขัดขืนระคนประหลาดใจ แต่ก่อนจะได้สอบถามอันใดไป หญิงสาวผู้ลอยตวัดล้อมตัวเขาอย่างใคร่ครวญสำรวจ ก็ยกมือเรียวตบอกตัวเองพรางแนะนำตัว “ข้า! ชื่อเจียวซิ่น เป็นเทพารักษ์ที่สิงสถิตอยู่แถบนี้ แล้วเจ้าล่ะ คุณชายน้อย”

   เจียวซิ่น  แปลว่า  ความศรัทธาที่อ่อนโยน

“เว่ยอิง... นามรองอู๋เซี่ยน ศิษย์สำนักเจียง” ราวกับมีมนต์สะกดด้วยฤทธิ์วาจาสิทธิ์ ปากของเด็กหนุ่มก็ขยับพูดโดยที่เจ้าตัวไม่ได้หมายจะทำ คนที่สร่างเมาขมวดคิ้วมุ่นพรางยกมือตระครุบปากทันทีที่กล่าวจบ ผิดกับอมนุษย์สาวแย้มยิ้มพยักหน้ามองเขาอย่างพอใจ เว่ยอิงที่ร้องครางในลำคอพบว่าปากยังขยับได้ตามใจนึกก็ชิงถามอย่างรวดเร็ว “ท่านต้องการอะไร?

“เห้อ เบื้องบนเจ้าขา ข้าล่ะชอบคนฉลาดแบบนี้จัง”หญิงสาวเทพารักษ์เงยหน้าขึ้นฟ้าก่อนยกมือราวกับจะสวมกอดดวงจันทร์พรางพูดก้องจากใจด้วยเสียงใสกังวาน แล้วละกริยาทุกอย่างยกมือท้าวเอว ปาดนิ้วเรียวจิ้มอกคุณชายน้อยของคุณเธอเบาๆ ก่อนจะแสยะยิ้มเผล่แสดงท่าทีราวกับมีแผนร้าย

“นี่แน่ะ คุณชายน้อย รู้หรือไม่...ตอนนี้โอกาสทองมาถึงตัวเจ้าแล้ว” หญิงสาวกระซิบกระซาบราวกับพ่อค้ากำลังแอบขายของโลกีย์ก็ไม่ปาน ผิดกับเว่ยอิงที่หรี่ตามองเงี่ยฟังนางอย่างไม่ไว้ใจ “โอกาสอันใด”

“อ่ะแฮ่ม... หากให้เล่าทั้งหมดก็คงมากความ ข้าขอเล่าย่อๆแล้วกันเทพารักษ์สาวชักนิ้วกลับก่อนทำเป็นตรวจสอบเล็บ เบ้ปากกล่าวเสียงเหนื่อยหน่าย ก่อนจะตวัดกายนั่งลงบนกิ่งไผ่ใหญ่ที่โค่นเอนลงมา นางสูดสูดหายใจก่อนจะปั้นเสียงคล้ายเล่านิทานแล้วเอ่ยกับเว่ยอิง “เรื่องราวมันมีอยู่ว่า... ตัวข้านี้คือเทพารักษ์ และข้า...ก็ประจำอยู่ที่มานานนนนนนนน มากๆแล้ว แม้การเป็นเทพารักษ์จะสบายเพียงใด แต่ความเบื่อหน่ายที่ต้องจ้องมองโลกใบนี้ตะวันขึ้น ลาลับฟ้า ดวงจันทร์โผล่มา ดวงดาวหายไป มานับหลายชั่วอายุคนเกินกว่าที่เจ้าจะจินตนาการไหว มันสุดจะทนสำหรับข้าแล้ว”

“อือหึ... แล้ว?”

“ข้าเลยกระเสือกกะสนสั่งสมบารมี โดยการฟังเสียงความปรารถนาของผู้คน แล้วดลบันดาลให้เป็นจริง” หญิงสาวเล่าเรื่องราวประหนึ่งแสดงละครบทโศกองก์ใหญ่ ผิดกับคนฟังที่ตวัดสายตากรอกกลับอย่างหาทางหนีทีไล่ แต่ทว่ายังไม่ได้ทันก้าวเท้าออกไปทิศทางใด ใบหน้าของเว่ยอิงก็ถูกมือเรียวช้อนกระชากให้ประชิดกับดวงหน้างดงาม ดวงตาโตคมของคุณชายสี่อายุสิบสามจ่อจ้องริมฝีปากบางของนางฟ้าสาวที่เค้นเขี้ยวพูดราวกับเน้นย้ำให้ฟังกระแทกกระทั้นเข้าไปในใจ “และข้า! เหลือเพียงบันดาลให้หนึ่งคำปรารถนาสุดท้ายเป็นจริงเท่านั้น ก็จะได้ไปผุดไปเกิดสักที!!

“...ก็อย่างว่านั่นแหละ คุณชาย... พอดีว่าด้วยอำนาจนิดหน่อย ข้าเลยแอบฟังเสียงในใจท่าน แล้วเผอิ๊ญ เผอิญ ได้ยินความปรารถนาในใจคุณชายเว่ยผู้น่ารักพอดี” เจียวซิ่นเทพารักษ์สาวกำมะลอ ถูนิ้วเล็กน้อยก่อนจะหรี่ตามองมาที่เว่ยอิงคล้ายสิงห์มองเหยื่ออันโอชะ

“ความปรารถนา...ในใจข้า?”เว่ยอิงขมวดคิ้ว ก่อนจะกรอกตามองพื้นอย่างครุ่นคิด ผิดกับเทพารักษ์หญิงที่ผละมือจากใบหน้ามนของเด็กหนุ่มแล้วผลุบตัวหาย โผล่ไปเกี่ยวแขนร่างโปร่งอย่างถือสิทธิ์ พรางกระซิบที่ข้างหูนวล “อ่าห๊ะ... ความปรารถนา...ของเจ้า”

[ อ่า...ข้าอยากกลับกลายเป็นเด็กชะมัด ]

“เหลวไหล!”นึกย้อนแล้วความต้องการลึกๆก็สะท้อนก้องในหัว ศีรษะทุยสั่นพัลวันราวกับสะบัดเรื่องราวพวกนี้ออกไป เว่ยอิงหลับตาอย่างขุ่นเคือง แล้วก้าวเดินต่อไปอย่างไม่ไยดี ทิ้งให้แม่นางผู้ยื่นข้อเสนอ(ที่น่าคิดว่า)ดีๆให้แก่เด็กหนุ่มได้แต่มองตามอ้าปากค้างกับความผิดพลาดขายของไม่ออกนางรีบย้ายร่างมาโผล่ดักหน้าเด็กหนุ่มที่หลับตาเดินจ้ำอ้าวด้วยความหงุดหงิดกับเรื่องเหนืออัศจรรย์บ้าบอพรางบ่นว่าตนเมามายเกินไปแล้ว ก่อนจะยกสองมือเป็นสัญญาณรั้งเว่ยอิง แต่ทว่าเด็กหนุ่มที่หมดสิ้นฤทธิ์เมาได้แต่โบกมือไล่ ไม่ให้ร่างนางเข้าใกล้ก่อนจะพูดแนะนำเสียงเขียว “ขอบคุณ ท่านเทพารักษ์ แต่ข้าขอไม่รับน้ำใจนี้ของท่าน ท่านไปช่วยบันดาลให้ผู้อื่นเถอะ ข้าขอตัว”

“เดี๋ยวๆๆๆ คุณชายน้อย... ชู่ววว ใจเย็นๆก่อน”

“ไปหาคนอื่นเถอะท่าน”

“เว่ยอิง! เจ้าต้องฟังข้า”

“ข้าไม่รู้ว่าท่านเป็นผีสางนางไม้ หรือเทพารักษ์เรืองฤทธิ์แค่ไหนหรอกนะ... แต่ข้า! อยู่ในสำนักเซียน หากท่านไม่อยากต่อกร โปรดหลีกทาง!

“ไม่! คุณชายน้อย เรื่องนี้มัน...”

“หลีก!

“โว๊ะ ฟังก่อนสิวะ ไอ้เด็กดื้อนี่”น้ำเสียงหมดความอดทนตวาดก้องพร้อมกับมือเรียวสะบัดเสกมนต์ใส่ร่างโปร่งแสนดื้อดึง เว่ยอิงที่ก้าวเดินฉับๆย่ำต้นหญ้าในความมืดรู้สึกเหมือนถูกเชือกล้อมรัดทันที ก่อนร่างของเขาจะลอยหวือ แล้วพุ่งลิ่วมาหาร่างของหญิงสาวเทพารักษ์ที่กอดอกหน้าทมึงถึงกลางอากาศฉับพลัน ดวงตาโตคมทอดมองดูเท้าที่ลอยสูงเหนือพื้นเกือบสองคนต่อตัวกันอย่างตื่นตระหนก ดวงตาโตคมอของลูกบูญธรรมสกุลเจียงตวัดตามองหน้าเจียวซิ่นอย่างเอาเรื่อง พร้อมขึ้นเสียงอย่างโกรธเคือง 

“ท่านทำบ้าอะไรเนี่ย ปล่อยข้านะ! คนบอกว่าไม่อยากได้ก็คือไม่อยากได้ไง! เป็นเทพารักษ์ประเภทไหนกัน อยากไปผุดไปเกิดถึงกับยัดเหยียดบันดาลพรให้มนุษย์เนี่ย!

“ถ้าเจ้าไม่อยากให้ข้าบันดาลพรให้ แล้วเจ้าทำสัญญากับข้าทำซากทำไมเล่าห๊ะ!?

“สัญญาอันใดไม่เห็นจะรู้เรื่อง!”เว่ยอิงขึ้นเสียงกลับพรางจ้องหน้าหญิงสาวเขม็ง ผิดกับเจียวซิ่นที่หางหิ้วกระตุกยิกๆอย่างหงุดหงิด ใบหน้างดงามฉายแววอดกลั้นเหลือทน ก่อนหลับตาลงดชขบเม้มริมฝีปากตนพรางกล่าวถาม “นี่เจ้า... ไม่เคยได้ยินหรือไรว่าหากมีเสียงเรียกชื่อยามวิกาลห้ามโต้ตอบน่ะ”

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ล่ะ โว้ย ปล่อยข้าลงนะ!”ศิษย์เอกอวิ๋นเมิงตัวน้อยที่รู้สึกว่าเริ่มไม่ชอบมาพากลดิ้นพร่าๆกลางอากาศ ในทางกลับกันเทพารักษ์สาวกำมะลอได้แต่เหลือกตาขึ้นฟ้า กางมือหงิกหงออย่างเหลืออด ก่อนจะเค้นเสียงโอดโอยในลำคอ“โอ๊ยยย ไม่ใช่! ข้าหมายถึงความสำคัญของชื่อน่ะ เจ้าไม่รู้หรือไรเลยรึไง!?

...ชื่อ?... เด็กหนุ่มในเวทย์พันธนาการชะงักฉับพลันก่อนค่อยๆหันมองใบหน้านวลที่จ้องมาที่เขาด้วยความจริงจัง พลันในหัวก็ผุดประโยคที่โต้ตอบกับนางเมื่อไม่กี่นาทีผ่านมา

ข้า! ชื่อเจียวซิ่น เป็นเทพารักษ์ที่สิงสถิตอยู่แถบนี้ แล้วเจ้าล่ะ คุณชายน้อย
เว่ยอิง... นามรองอู๋เซี่ยน ศิษย์สำนักเจียง

ห๊ะ... แค่เนี่ยนะคือทำสัญญากันแล้ว!

เด็กหนุ่มผู้พึ่งกลับจากร่ำสุราถลึงตาโต้ตอบฉับพลัน “ข้าไม่ได้อยากขานชื่อด้วยความเต็มใจ ท่านต่างหากใช้วาจาสิทธิ์บังคับข้า!

“กล่าวหา! ข้ามีอำนาจอ่านใจได้ ไม่ได้มีวาจาสิทธิ์สักหน่อยนะ”หญิงสาวหวีดตอบทันควันพร้อมใบหน้าเหง้างอด มือทั้งสองนางกำแน่นอย่างขัดใจ ก่อนจะกอดอกสะบัดหน้าพรืดหันหลังให้เด็กหนุ่มในควบคุม หวังสะกดกั้นอารมณ์ แต่ทว่าอยู่ๆราวกับมีแสงเทียนสว่างวาบในความขุ่นมัว ใบหน้างามๆค่อยเหลียวมองเด็กหนุ่มที่พยายามหยิบเอายันต์ปราบมารจากอกเสื้อตนออกมา เทพสาวผู้เปลี่ยนอารมณ์จากหน้ามือเป็นหลังเท้าหายตัวแล้วเผยกายประชิดร่างเด็กหนุ่ม ยันต์ในอกเสื้อของเว่ยอิงถูกเผาด้วยเปลวไฟสีขาวเย็นฉ่ำชั่วพริบตา จนเจ้าของยันต์เหลือบมองต้องตื่นตะลึง ผิดกับเทพารักษ์สาวที่บีบไหล่ของเด็กหนุ่ม แล้วดีดหน้าตนประชิดหน้ามนของเว่ยอิงที่เลิกคิ้วด้วยความตื่นตระหนกราวกับจะถูกฆ่าก็ไม่ปาน 

“เจ้า! บอกว่า! ไม่ได้เต็มใจ! ขานชื่อ! ใช่หรือไม่ คุณชายน้อย ต๊อบ!!

“ใช่!! ข้าไม่ได้ตั้งใจขานชื่อ! กระจ่างแก่ใจท่านหรือยังเล่า!”เด็กหนุ่มวัยสิบสามปีดิ้นพร่าๆราวกับปลาขาดน้ำ ตะคอกกลับอัดเต็มหน้าหญิงสาวแถมฝอยน้ำลายฝอยหนึ่ง เรียกได้ว่าประจักษ์แจ้งแก่เจียวซิ่นเลยทีเดียว

...อื้อหือ เป็นเด็กเป็นเล็กไยกลิ่นเหล้าคลุ้งเช่นนี้ล่ะเนี่ย...
...ใช่ประเด็นที่ไหนล่ะ! ตัวข้านี่ล่ะก็!...

“คุณชายเว่ย ไม่ทราบว่าท่านเดินผ่านเส้นทางนี้มากี่ครั้งแล้ว ต๊อบ!

...ยัยนี่ เป็นเทพารักษ์จริงๆรึเปล่าเนี่ย!...

“ไม่รู้! ข้าไม่เคยนับ!

“ใช่แล้ว คุณชายใช้เส้นทางนี้บ่อยครั้ง แล้วมีครั้งไหนแบบ... รู้สึกวาบๆโหวงๆ เย็นยะเยือก หรือสัมผัสอะไรแปลกๆได้บ้างไหม?” มันควรจะมีสิ เด็กนี่เดินผ่านทางนี้ประจำ ข้าเห็นบ่อยๆ แล้วจู่ๆเหตุใดคืนนี้ถึงมองเห็นข้า ได้ยินเสียงข้างชัดเจนอย่างนี้กัน ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นข้าลองวนเวียน เจ้าเด็กนี้ไม่เห็นสำนึก ฉุกคิด จิตสะเทือน ลมหมอนนอนเสื่ออะไรเลย

...อะไรวะ วาบๆโหวงๆ เย็นยะเยือก ยัยนี่เป็นผีจำแลงกายมาแสร้งเป็นเทพรึเปล่านะ...

“ไม่! จนข้ามาเจอกับท่านนี่แหละ! พิลึกสุดแล้ว”เด็กหนุ่มเหลือทน สติแตกพล่านเพราะความโกรธ ตะโกนก้องตวาดสุดเสียง ทิ้งให้ใบหน้างามเบิกตาโพล่งยกมือแปะอกอย่างตกใจ... ไม่ใช่ตกใจเพราะความเกรี้ยวกราดของเด็กน้อย... แต่เเพราะ... [ เรื่องนี้เบื้องบนลิขิตให้ชัดๆ ]

มือเรียวตวัดกำแล้วคลายออก พันธการล่องหนที่ล้อมรอบเด็กหนุ่มขาดสะบั้น ร่างโปร่งของเด็กหนุ่มผู้พบเทพารักษ์ยามวิกาลร่วงหล่นทันที แต่มีหรือที่ศิษย์เอกอวิ๋นเมิงจะไม่เคยตกจากที่สูง ร่างโปร่งม้วนตัวก่อนตวัดขาย่อรับน้ำหนักตนลงพื้นอย่างงดงาม เว่ยอิงค่อยๆยืนขึ้นจ้องมองร่าง ผีสาวที่ลอยเคว้งคว้างทำหน้าเอ๋อพิลึกอย่างไม่ชอบใจ

“เห๊อะ”เด็กหนุ่มเค้นเสียงในลำคอ ก่อนตวัดใบหน้าโกรธขึงขังหันไปทิศทางสู่สกุลเจียง สาวเท้าก้าวเดินปึงปังอย่างโกรธเคือง ภาพซ้อนการกระทำตอนนี้ท่าทีราวกับคุณชายเจียง ศิษย์ผู้น้อง ทายาทแห่งอวิ๋นเมิงก็ไม่ปาน

เว่ยอู๋เซี่ยนเกลียดนักคนที่ชอบลาบล้วงใจคน เขาไม่ชอบให้ใครมายุ่งย่ามในชีวิตเกินไป ยิ่งเรื่องที่เขาไม่อยากบอกใครก็ไม่อยากให้หน้าไหนมาสู่รู้!

ท่าทีปกติคือผู้ก่อกวนคนอื่นเสมอ เป็นศูนย์กลางของรอบกายเพราะรอยยิ้มที่เจิดจรัส และท่าทีสบายๆ เป็นผู้นำโดยกำเนิดอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ทว่า...พอโดนผู้อื่นเจาะลึกด้านที่อ่อนแออันซึ่งเก็บซ่อนไว้ในเปลือกเหล่านั้น เว่ยอิงกลับรู้สึกกระวนกระวายว้าวุ่นใจ

...ยิ่งมาเจอกับคนที่ไม่อาจต่อกรได้ เว่ยอิงยิ่งอยากรู้สึกคำรามระบายความโกรธตัวเอง...

“เดี๋ยว! คุณชายเว่ย”เสียงหวานเรียกอีกครั้ง ครานี้เว่ยอิงไม่แม้แต่จะหยุดเท้าหันมอง เจียวซิ่นเห็นดังนั้นก็รุดกายหายว่อง โผล่จ้องประจันหน้าคนที่เดินอาจๆ อย่างถือดี

“เฮ้อ” เด็กหนุ่มผู้กินเหล้าย้อมทุกข์ในใจและหวังเดินกลับบ้านดีๆ ไม่คิดว่าจะมาเจอเรื่องยุ่งยากขนาดนี้ ได้แต่พรูถอนหายใจอย่างสะกดกลั้นอารมณ์ ก่อนเหลือบตามองใบหน้าของเจียวซิ่นด้วยความอ่อนอกอ่อนใจ “ท่าน...เจียวซิ่นสินะ”

“อือ... คุณชายใจเย็นลงแล้วใช่ไหม ฟังข้าก่อนนะ...คือว่า...”

“หากเป็นเรื่องแนวทางแก้สัญญา ข้าจะรับฟัง... แต่หากท่านจะมาเหนี่ยวรั้งเพื่อหวังดลบันดาลความปรารถชั่ววูบเพราะน้ำเมาของข้า... ข้าขอตัว”เว่ยอิงกล่าวอย่างใจเย็น พรางหยุดฝีเท้าจ้องหน้าเทพารักษ์กำมะลอ แล้วกล่าวความประสงค์ของตน เจียวซิ่นผู้เหลือแค่บันดาลความปรารถนาให้มนุษย์อีกแค่หนึ่งคนได้แต่ก้มหน้ามองเด็กหนุ่ม [ฟ้าลิขิต] อย่างจริงจังก่อนจะแปะมือเรียวทั้งสองบนไหล่ของเว่ยอิง แล้วบีบเบาๆ “ฟังนะคุณชายน้อย...สัญญานี้ไม่มีทางแก้”

ดวงตาโตคมจ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาเทพารักษ์สาว ซึ่งฉายแววจริงจังอย่างชั่งใจ แล้วฟังนางพูดต่อ“และหากข้าไม่ดลบันดาลความปรารถนาข้อนั้นของท่าน ข้าก็คงต้องตามรังควาญท่านเป็นผีเจ้ากรรมนายเวรตลอดไป ท่านเอาไหม?”

คำถามนั้นเรียกให้คิ้วเรียวของเด็กหนุ่มขมวดมุ่นพันกันกว่าเดิม น้ำเสียงและท่าทีขึงขังไม่ฉายแววเล่นละครปาหี่อีกแล้ว ศิษย์เอกแห่งอวิ๋นเมิงที่ไม่อาจพิสูจน์อันใดได้ว่าเรื่องที่หญิงสาวแปลกประหลาดตรงหน้าพูดจริงเท็จประการใด ได้แต่ถามออกไปตรงๆอย่างจนแจ้งแก่ปัญญา“ท่านไม่ได้โกหกใช่ไหม?

“โกหกหรือไม่ คุณชายเว่ยลองพิจารณาดู... ท่านเดินเส้นทางนี้มานับครั้งไม่ถ้วน ท่านรู้อยู่แก่ใจ แต่เหตุไฉนท่านถึงมาเห็นข้าเอาตอนนี้ และเหตุใดกาลเวลาถึงเหมาะเจาะพอดีที่ข้าได้ยินความปรารถนาของท่าน สุดท้ายนี้ทำไมท่านถึงขานนามแม้ไม่ได้ตั้งใจกล่าว”

“...”

“คุณชายน้อย... แม้ท่านอาจคลาแคลงใจว่าข้ากำลังล่อลวง โดยสร้างสถานการณ์จงใจนี่หรือไม่... แต่ท่านช่วยฉุกคิดมุมกลับหน่อยได้ไหมว่านี่อาจจะเป็นเพราะฟ้าลิขิตก็ได้”

“...”

“ลิขิตให้...  ข้ามาบันดาลความปรารถนาในใจท่านให้เป็นจริง” เจียวซิ่นกล่าวพร้อมกับสายลมแผ่วเบาพัดผ่านราวกับเป็นสัญญาณตัดสินใจแก่เว่ยอู๋เซี่ยน ผมหางม้าดำขลับขยับลิ่ว พร้อมกับหญิงสาวร่างเรืองรองด้วยละอองงดงามคลายมือที่บีบไหล่ของเด็กหนุ่ม เขยื้อนกายทิ้งช่องว่างให้เด็กน้อยที่เทียบกับอายุมองดูโลกของเทพารักษษ์สาว ได้มีพื้นที่ให้ขบคิด

อาจเพราะฤทธิ์เหล้า ทำให้ในหัวของเว่ยอิงปะปนด้วยอารมณ์ ยากนักที่จะคุมตนให้ดำเนินการตัดสินใจตามตรรกะและเหตุผลที่สมควร หลับตานิ่งทิ้งตัวจมกับความรู้สึกดังคลื่นลมโหมกระหน่ำ สัมผัสความปรารถนาที่ทำให้ขอบตาร้อนผ่าวอย่างจริงจังว่าตนต้องการจริงหรือไม่

แต่กระนั้นหัวใจกับหวาดกลัว... หากเจียวซิ่นผู้มาปรากฏกายตรงหน้าด้วยฟ้าลิขิตก็ดี ด้วยความหวังดีก็ดี หรือจะด้วยความหวังร้ายก็ดี ส่งเขาย้อนกลับไปเป็นเด็กในวันวาน... เขาจะทนได้หรือที่จะผละมือจากความหอมหวานในวันเยาว์ได้ลง ตัวเว่ยอิงผู้นี้หรือจะสามารถปลดปลงลาจากช่วงเวลาดีๆอย่างนั้นได้

“ข้าเปลี่ยนความปรารถนาได้หรือไม่”น้ำเสียงเหนื่อยล้า พร้อมกับเปลือกตาสีงาช้างลืมขึ้นอย่างเหนื่อยอ่อน ปรายมองหญิงสาวประหลาดผู้อาสาดลบันดาลพร แต่ใบหน้างามกลับส่ายปฏิเสธพร้อมกับกล่าวเสียงอ่อนราวกับสงสารจับใจ “ไม่ได้”

จริงแท้แค่ไหนไม่รู้... เจอกันไม่ถึงหนึ่งชั่วยามไม่อาจทราบธาตุแท้ดีเลวในใจ... แต่เหตุใดกันความรู้สึกเหนื่อยอ่อนเกินจะหนีพ้นความต้องการเทพารักษ์สาวรูปงามนามเจียวซิ่น มันทำให้พยักหน้าแล้วตกปากรับคำราวกับสิ้นหนทางที่จะหลีกเลี่ยงอีกต่อไป “เอาเถอะ ท่านอยากทำอันใดก็ทำ”

“เช่นนั้นเจ้าหลับตาเสียสิ” เจียวซิ่นแย้มยิ้มกับชัยชนะก่อนจะเคลื่อนตัวเข้าหาเด็กหนุ่มรูปงาม เปลือกตางาช้างของเว่ยอิงค่อยๆปิดลงอย่างไม่อาจต้านท้านก็ร่างกายจะอุ่นวาบทันใด
มโนสำนึกสุดท้ายลอยลิ่วหายไปพร้อมเสียงหวานก้องกระซิบให้จดจำ


“คุณชายเว่ย จงจำเอาไว้ พรข้อนี้จะไม่หายไป... จนกว่าหัวใจของท่านจะได้คำตอบที่ท่านต้องการรู้
ข้าจะคอยดูอยู่ข้างท่านจนกว่าพรข้อนี้จะลุล่วงไปด้วยดี”



------------------------------------------------

...ตอนหน้า...








【ตอนที่ 1 - จบ】
โปรดติดตาม ตอนต่อไป



จะรีบไปไหนๆ ถ้าชอบและถูกใจ Fic เรื่องนี้ 
อย่าลืมส่งมอบคำติชม หรือให้กำลังใจ กับ Suky ได้ที่


『กล่อง Comment ด้านล่าง』
ไม่ต้องสมัคร/ลงทะเบียนให้วุ่นวาย พิมพ์ได้เลย! 

หรือ

หากท่านเล่นทวิตเตอร์ เมนชั่นคุยกันใต้ทวีตเรื่องนี้
คลิ๊กตัวอักษรสีฟ้าเลย

ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน Fic เรื่องนี้นะคะ อิอิ




ติดตามผลงาน Fic / นิยาย ของ Suky ได้ที่

============================
============================


ความคิดเห็น