Fic 魔道祖师 Mo Dao Zu Shi : Take me somewhere I can call [My Home] 2/??

Title : Fic 魔道祖师 Mo Dao Zu Shi
Type : Dialouge Fiction

Topic : Take me somewhere I can call [My Home]

Chapter : 2/??

Pair : หลานวั่งจี x เว่ยอู๋เซี่ยน, เจียงเฉิง x เว่ยอุ๋เซี่ยน
Rate : PG 13+


คำเตือน 
  • Fic เรื่องมีความเกี่ยวข้องกับความรักระหว่างเพศเดียวกัน หากมีทัศคติที่รับไม่ได้กรุณากดออก
คำชี้แจง

  • Fic เรื่องนี้ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเนื้อหาหลักใดๆ ของปรมาจารย์ลัทธิจารย์ Mo Dao Zu Shi 魔道祖师 ที่อาจารย์ Mo Xiang Tong Xiu เจ้าของผลงาน เป็นเพียงเรื่องสมมติที่จินตนาการมาจากความคิดผู้แต่ง
  • ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน Fic เรื่องนี้กันนะคะ ถ้าชอบอย่าลืมช่วยกันคอมเม้นท์ โหวต แชร์ ถูกใจ หรือติดตามเป็นกำลังใจให้แก่คนเขียนนะคะ
  • หากมีผิดพลาดประการใด ไม่ถูกใจท่านผู้อ่าน ต้องกราบขออภัยล่วงหน้าค่ะ
  • รักนักอ่านทุกท่านคะ





============================
============================




Take me somewhere I can call [My Home]

บทที่ 2




เศษผงฝุ่นของประตูสำนักที่พังทลายป่นปี้ลอยล่องปะปนในอากาศ
ถูกพิรุณชะล้างให้ร่วงหล่นผสมดินโคลนเหนือพสุธาที่เปียกชุ่ม
สายฝนเข้าปกคลุมอวิ๋นเมิงเต็มผืนนภาแล้ว
แต่ไม่แคล้ว สามารถดับไฟกองใหญ่ที่สุมในใจของคนได้

สองบุรุษทรงอำนาจไม่อาจหลบหลีกซ่อนเร้นความเป็นไปในดวงตา
เผยแววว่าอยากฟาดฟันกันราวกับสายฟ้าที่เปิดฉากโหมโรง
ภายในดวงตาของเด็กชายนามหลงเก้อ
ผู้ถอยกรูดหนีเตลิดหน้าเหวอ จนประชิดอาชาที่ตื่นตระหนกกับสถานการณ์ฉุนเฉียว
จ้องมองกระบี่สีเงินสั่นระริกในมือของคุณชายหลาน
กระบี่ทรงอำนาจเหนือมารถูกแส้จื่อเตียนรัดล้อมสามทบสยบแย่งยื้อหยุด
มันเป็นอาวุธของท่านประมุขเจียง
หนึ่งกระบี่ หนึ่งแส้ สาดแรงยื้อถือแรงรั้ง คนละทิศคนละฝั่ง ตรงข้ามกัน
ประดุจเจ้าของอาวุธนั้น อยากทดสอบพละกำลังแสดงอำนาจตน และข่มขวัญกันด้วยศักดิ์ศรี
ขบเขี้ยวเข่นฟันเก็บวจีรุกเร้าซ่อนเร้น พร้อมเข่นฆ่าคนตรงหน้าให้ล้มตาย

“นี่คือวิธีเคาะประตูบ้านผู้อื่นหรือ ท่านหลานวั่งจี”
เจ้าของบ้านผู้ยื้อแส้เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
กล่าวประโยคราวกับตัดพ้อทอดทิ้ง เรื่องประตูสำนักย่อยยับไม่มีชิ้นดี
แต่ทว่าผู้ที่[เคาะ]ประตูบ้านผู้อื่น[ด้วยกระบี่]กลับไม่ตอบคำถาม
เข่นวาจารอดไรฟัน อดกลั้นพรางระบุนามและถามถึงธุระของตน
“เว่ยอู๋เซี่ยน...อยู่ที่ใด”

“เขาหลับไปแล้ว”
ประมุขเจียงตอบคำถามเพียงสั้นๆ
ทิ้งให้คนที่ขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจเรื่องราวที่ฉับพลันได้สงสัย
หลังจากนั้นต้องทิ้งความหงุดหงิดล้นพ้นในดวงใจ
มลายสิ้น เหลือเพียงความห่วงใย เมื่อเจ้าของที่อยู่อาศัยเอ่ยถึงแขกในเรือนตน
“...ด้วยพิษไข้” 

พยัคฆ์ร้ายแห่งกูซูเลิกยื้อหยุด แล้วปลดอาวุธ ไม่ฉุดรั้ง เมื่อได้ฟังคำแถลง
เจ้าของเรือนจ้องมองคนที่ลดแรง พลิกแพลงตวัดดาบ หลุดพันธนาการจากแส้ตน
เจียงเฉิงทอดมองหมาบ้าได้สติ
พรางถอนหายใจลดทิฐิของตนบ้าง
หลุบตามองสายน้ำไหลเซาะดินโคลนไปตามทาง
ไหลจากบนลงล่างอย่างปลดปลง
ละทิ้งความทระนง แล้วค้อมหัวก้มเชิญแขกเข้าด้านใน

“ได้ยินเช่นนั้นแล้ว...โปรดเข้าเรือนก่อนเทิด... หานกวงจวิน”
.
.
“ข้าและท่าน... เรามีเรื่องที่ต้องพูดคุยกัน”

---------------------------------------------------

ทอดก้าวยาว สาวเท้าเดิน ไปตามเฉลียงเงียบ
หลานวั่งจีดสอดส่ายสายตาเรียบนิ่งพิศมองจวนสกุลเจียงยามราตรีที่เงียบเฉียบ ไร้ผู้คน

นี่น่ะหรือ...บ้านที่เว่ยอิงคร่ำครวญหา
นี่น่ะหรือ...บ้านที่เว่ยอิงเสียน้ำตา จากมาอย่างข่มขื่น
นี่น่ะหรือ...บ้านที่เว่ยอิงเฝ้าหาทุกเช้าคืน
นี่น่ะหรือ...บ้านที่เจ้าเคยยืน..เคียงคู่สกุลเจียง

ดวงตาเรียวคมจ้องมองแผ่นหลังเจ้าของเหลียนฮวาอู้
มาที่นี่คาดหมายเป็นศัตรู ต่อสู้ให้ตายไปข้าง
คราก่อนยังจำได้ไม่เลือนราง เรื่องบาดหมางระหว่างเจียงเฉิงและเว่ยอิง
หูเบาเชื่อหลานหลิงจิน ความแค้นกัดกัดกินจิตเน่าเฟะเกินบรรเทา
ไม่สำนึกเลย...ว่าได้เอาจินตันและปราณของผู้ใดมาต่อชีวิต
เคยสำนึกผิดหรือไม่ว่าทำเว่ยอิงไว้เท่าใด!
และไม่อย่างไร...ข้าก็จะไม่ให้เจ้าได้ทำร้ายเขาอีกตราบชั่วกาล!!!

“บ่าวไพร่ในเรือนข้ามีน้อย มีให้ใช้สอยไม่มากนัก หากค่ำคืนนี้หานกวงจวินได้รับการปรนนิบัติดูแลไม่สุขสบาย ข้าขออภัยไว้ล่วงหน้า”
เจียงเฉิงที่เหลือบเห็นแขกยามวิกาลเดินตามหลังกวาดตามองบ้านของตน 
จึงเอ่ยปากบอกความ ชะล้างความสงสัยที่ตนคาดเดาว่าคงผุดขึ้นมาในใจของหลานวั่งจีเป็นแน่

“มิต้องการ ข้าเพียงมารับตัวเว่ยอิงกลับ”
อาคันตุกะผู้ตะบึงม้าจากกูซูเอ่ยเสียงเรียบ
ดวงตาดุจเหยี่ยวของหลานวั่งจีเพ่งมองแผ่นหลังของเจ้าบ้านผู้เดินนำ
โคมไฟในภายในมือประมุขเจียง สาดแสงเผยเสี้ยวหน้าของคนถือ
...มันช่างเหย่อหยิ่งเย็นชา
จนใจของคนที่ตามเจ้ากาดำมา หวาดระแวงว่าเว่ยอิงอาจถูกลุกล้ำ ถูกกระทำตบตี

“ข้าเชื่อว่าท่านต้องเปลี่ยนใจกลับคำทันทีที่ได้พบเขา”
หลานวั่งจีกระชับกระบี่ในมือแน่น
ริมฝีปากหยักได้รูปเผยอออกเตรียมเอ่ยถาม
แต่ทว่าเจ้าบ้านกลับหยุดฝีเท้าลง
แล้วหันตัวกลับ มองตรงมาที่เขาอย่างเย็นชา
ผายมือไปด้านข้าง 
“เชิญ”

คุณชายรองสกุลหลานมองเจ้าของจวนครู่หนึ่ง
ก่อนทอดมองทางเข้าตามฝ่ามือที่เชื้อเชิญ
ก้าวเท้าออกเดินด้วยตนเองไร้ผู้นำทาง
จิตใจสั่นไหวพรางมองม่านเตียงที่พลิ้วไหว
ณ กลางห้องที่ไร้ความสว่างไสว
มีเพียงกลิ่นไอกำยานตลบอบอวน

ผู้มาเยือนยามพลบค่ำ หยุดสูงเท้าหน้าเตียงเสาสี่ต้น
ม่านขาวท่ามกลางความมืดสะบัดระลอกคลื่นขึ้นลง
ราวกับเชื้อเชิญให้เปิดชมสิ่งที่อยู่ข้างหลังมัน

“ข้าจะไปรออยู่ที่โถงรับแขก...หากท่านเสร็จธุระแล้วโปรดมาพบข้า”
คนนำทางกล่าวทิ้งท้าย แล้วจากไป
แสงสว่างที่ส่องไสวจากโคมไฟในมือเจ้าบ้านค่อยๆเลือนหาย
เสียงฝีเท้าประมุขเจียงค่อยๆเลือนราง แผ่วจางจนสดับฟังไม่ได้
ทิ้งหลานวั่งจีให้นิ่งงันในห้องเดียวดาย
กำหมัดชั่งใจ แล้วเคลื่อนกาย ยื่นมือเปิดม่านเตียงอย่างแผ่วเบา

“เว่ยอิง...”
ทันทีมีม่านสีขาวถูกมือเรียวใหญ่เปิดออก
ภาพที่ประจักษ์ในสายตาคุณชายรองสกุลหลาน
คือร่างที่นิ่งนอนแผ่สยายผมยาวดำขลับตัดกับเครื่องนอนสีขาว
ผ้าห่มผืนหนาถูกจัดแจงคลุมถึงอกที่กระเพื่อมขึ้นลงเป็นจังหวะ
ตาเรียวคมดุจเหยี่ยวสำรวจใบหน้าซีดเซียว ด้วยหัวใจในอกบีบรัด
ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งขอบข้างเตียง
ยื่นมือที่เคยจับกระบี่เบี่ยงฟาดฟันฆ่ามารมากมาย
ลูบสัมผัสผิวกายร้อนผ่าวอย่างอ่อนโยน

มือใหญ่ตระกรองถือครองใบหน้าที่หลับใหลอย่างแผ่วเบา
สอดมือช้อนศีรษะทุยด้วยความสั่นเทา
แล้วรั้งดึงขึ้นเอาร่างของเจ้ากาดำมาแนบกาย

ร่างโปร่งที่ค่อยๆถูกประครองให้พิงตัวนั่งซบอกแกร่งนั้นไร้เรี่ยวแรง และไม่มีท่าทีจะลืมเปลือกตาสีงาช้าตื่นจากหลับใหล เช่นเดียวกับพิษไข้ที่แพร่งพรายจากผิวกายส่งต่อให้เจ้าของอ้อมแขนได้ตระหนักรู้ ไล่นิ้วเรียวที่บรรเลงกู่ฉินปัดปอยผมที่ปรกหน้านวล เผยแพขนตาหลับพริ้มแนบสนิท ดั่งไม่รู้สึกถึงสิ่งใดในโลก ทิ้งตัวไร้แรงแน่นิ่ง นอนจมอยู่ในห้วงนิทรา

“เว่ยอิง...”กล่าวเรียกเสียงกระซิบมิได้ต้องการให้คนในอ้อมแขนตื่นขึ้น หานกวงจวินเพียงพร่ำพูดให้ตรึงใจว่าคนสำคัญได้อยู่ตรงนี้แล้วใบหน้าคมค้อมลงบรรจงจูบเปลือกตาที่หลับใหล ประทับนานตราตรึงไว้ ก่อนขยับปลายจมูกรับกลิ่นกายที่ขมับนวลราวกับเน้นย่ำให้ตนเอง

...เจอตัวแล้ว...
...ข้าหาเจ้าเจอแล้ว...เว่ยอิง...

กลิ่นกำยานหอมหวานอบอวลลอยล่อง ไม่อาจปลอบประโลมใจที่ผ่านความหวาดหวั่นตามหากาดำที่ห่างหาย ดวงตาเรียวคมหลับนิ่งปิดสนิทคิดหวนกลับไปยามเช้าของวันนี้ หลานวั่งจีคงจดจำไปจนตาย ร่างข้างกายหนีหายไม่เหลือเงา

ถิ่นที่แรกที่ผุดเข้ามาในห้วงความคิดคือ อวิ๋นเมิง ทันทีที่คิดได้เขาพลีผลามคว้ากระบี่เหน็บกายและตวัดเท้าปีนโกน ขึ้นม้ากระชากบังเหียน มุ่งตรงตามเส้นทาง กวาดสายตามองส่องหวังว่าจะพบเจอแผ่นหลังของใครบางคน ที่กล้ากระชากยันต์พันธนาการของกูซูทิ้ง ทำลายสิ้นแม้เขตอาคมที่เขาเป็นผู้สร้าง 

คิดว่าต้องเจอเจ้าในสภาพปางตาย
คิดว่าต้องเจอเจ้าร้องไห้ใจสลายต่อหน้า
คิดว่าต้องเจอเจ้าอวดครวญร่ำร้องขอไหว้บรรพชนกับเขาต่อหน้าต่อตา
เมื่อคิดว่าเจ้าถูกเขากระทำจนน่าเวทนา...ตัวข้าก็ไม่อาจทน...ดิ้นรนกักขังไม่ปล่อยเจ้ากลับมาสู่บ้านสกุลเจียง

คิดว่าจะกักขังไว้ได้
คิดว่าจะหยุดยั้งไว้ได้
คิดว่าจะต่อกรประณีประนอมกันได้
แต่สุดท้าย ‘เว่ยอิงก็คือเว่ยอิง’

----------------------------------------------------

ไอร้อนอบอวลลอยกรุ่นเหนือถ้วยชา
ตรงหน้าร่างสง่าทอดสายตามองม่านฝน
ประสานมือบีบแน่นท่ามกลางรัตติกาล
พรางปล่อยจิตใจลอยล่องไปไกลแสนไกล

...เจียงเฉิง ข้าได้ขนมจากแม่หญิงที่ต้นตลาดมา เรามากินด้วยกันเถอะ...
‘เว่ยอู๋เซี่ยน’
...นี่ๆ เจียงเฉิง ท่านอาพึ่งมอบกระบี่ให้ข้า เรามาประลองกันสักคราเถอะ...
‘เว่ยอู๋เซี่ยน’
...ไม่เอาน่า เจียงเฉิง ที่นายหญิงอวี๋ต่อว่าเจ้าเป็นเพราะรักนะ อย่าคิดให้มากเลย เรามาดื่มสุราไหนี้ด้วยกันเถอะ...
‘เว่ยอู๋เซี่ยน’
...เจียงเฉิง ฟักบัวนี่ข้าให้เจ้า เพราะฉะนั้นหยุดทำหน้าบึ้งตึงแล้วแย้มยิ้มเถอะนะ....
‘เว่ยอิง’
...เจียงเฉิง ข้าชอบรอยยิ้มเจ้า เดี๋ยวข้าจะแกงรากบัวให้เจ้ากินเอง เพราะฉะนั้นเรากลับจวนกันเถอะ...
‘เว่ยอิง’

‘เว่ยอิง’

‘เว่ยอิง... ข้า’

...ข้ารักเจ้า...หลานจ้าน...

“หึย!!!”
ฝ่ามือกำหมัดแน่นกระแทกโต๊ะไม้ตัวงาม
ถ้วยชาสะเทือน ล้มระนาด รินรดชาร้อนไหลอาบเลอะเปื้อนโต๊ะตัวนั้น
เจ้าของจวนก้มหน้าปิดซ่อนความบิดเบี้ยว
ขบเขี้ยวเค้นฟันจนรับรสเลือดขมปาดเข้ามาในลำคอ

ข้าผิดไปแล้ว...ที่ผลักไสเจ้า
ข้าผิดไปแล้ว...ที่ด่าว่าเจ้าเป็นตัวหายนะสกุลเจียง
ข้าผิดไปแล้ว...ที่ทำได้เพียงมองเจ้าไร้พลังเซียน อ่อนแอมิอาจโผบินในยุทธจักรได้ดังเดิม
ข้าผิดเหลือเกินที่กระทำต่อเจ้าเยี่ยงศัตรูตลอดมา

แต่จะให้ข้าทำอย่างไรเล่า ตอนนี้เจ้ากับข้ามิอาจเหมือนเก่า
ข้าเป็นถึงประมุข ส่วนเจ้าคือจอมมารที่สาบสูญ 
วิถีเรื่องราวขีดเส้นให้เราต้องเคียดแค้นชิงชัง
แม้ข้าอยากคุกเข่าโขกหัวขอขมาเจ้าก็มิอาจทำ เพราะแผ่นหลังข้ามีอะไรมากกว่าตัวตนของข้าเอง
มิได้มีอิสระทำอะไรได้ดั่งใจตนเอง เหมือนคืนวานที่เราอยู่ร่วมกันมา

...ขนาดคำว่า ‘ขอโทษ’ สวรรค์ยังไม่มอบโอกาสสักคราให้ข้าได้พูดมัน...
...ท่านพ่อ เหตุใดชะตากรรมผู้นำช่างเจ็บปวดเหลือเกิน...

ข้าคือเจียงเฉิง....ผู้ต้องถูกเปรียบเทียบกับศิษย์เอกอวิ๋นเมิงอย่างเจ้า
ข้าคือเจียงเฉิง....ผู้ต้องสิ้นเสาหลักพักผิง พลัดถิ่นไร้บ้าน เพราะใครเล่าที่เลือกเอาตัวไปเกี่ยวข้องกับสกุลเวิน
ข้าคือเจียงเฉิง....ผู้ต้องสูญเสียปราณและจินตัน เพราะใครเล่าที่ข้ากระทำเพื่อป้องกันไม่ให้ศัตรูมันพบเจอ
ข้าคือเจียงเฉิง....ผู้ต้องเลี้ยงดูหลานชายกำพร้า ด้วยความมัวเมาโกรธแค้นในจิตใจ
เพราะใครเล่าเลือกเดินสายมารทิ้งข้าไว้ไม่ให้รู้อันใดนานเท่านาน

ข้าคือประมุขเจียงผู้โดดเดี่ยวทรมาน เพราะใครเล่าที่เลือกเดินข้างหลานวั่งจี

ส่วนเจ้าคือ...เว่ยอู๋เซียนผู้เก่งกาจแห่งอวิ๋นเมิง
ส่วนเจ้าคือ...คนที่ใครก็ต่างสรรเสริญว่าจิตใจงดงาม มีเมตตาเพื่อนพ้องบริวารรักใคร่ ชอบช่วยเหลือผู้ใดที่เดือดร้อนไม่คิดหน้าหลัง
ส่วนเจ้าคือ...คนที่ยินยอมทรมาณ ก้าวผ่านความเป็นตายช่วยข้าที่เลอะเลือน สละมอบจินตัน
ส่วนเจ้าคือ...คนที่ทดแทนคุณอุปถัมภ์ชดใช้ความผิดที่กระทำ ยอมทิ้งตนตกต่ำเข้าสู่สายมาร

เจ้าคืออี๋หลิงเหลาจู่ผู้หายไปเนิ่นนาน กลับมาครองรักข้างหยกรองสกุลหลาน ฟ้าประทานอวยพร

...ทอดทิ้งเจียงเฉิงให้อาวรณ์ มองภาพของเคียงคู่ด้วยความแค้นชิงชัง...

จะทำอย่างไรดี
จะทำอย่างไรไม่ให้หลานวั่งจีเอาตัวเจ้าไป
เจ้าหวนกลับมา ยืนต่อหน้าข้า คืนสู่อวิ๋นเมิงเจียง เป็นเรื่องที่ข้าไม่เคยคาดคิดไว้
จะทำอย่างไรที่จะให้เจ้ากลายเป็นคนของสกุลเจียงอีกครา
จะทำอย่างไรให้เจ้ายืนเคียงข้างข้าอีกครั้งกัน

...ข้าละโมบนัก ที่อยากเรียกเจ้าว่า ‘เว่ยอิง’ สนิมสนมเช่นเขาบ้าง...
...ข้าละโมบนัก ที่อยากได้ยินเจ้าขานนามข้างข้าอีกครา แม้จะเป็นเพียง ‘เจียงหวั่นอิ๋น’…

ทันใดนั้นเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา
เรียกสายตาคนที่กำลังจัดการความบิดเบี้ยวในหัวใจได้หลุดจากห้วงความคิด
ประมุขลุกยืนเต็มความสูง หยิบถ้วยชาที่ล้มให้ตั้งขึ้น
แล้วหยิบผ้าหนึ่งผืนมาปกปิดรอยน้ำที่หกเท ให้ลบเลือนหายไปจากสายตา
ก่อนจะหันตัวกลับมาพบกับร่างของแขกในเรือนตน

“เจ้าทำอะไรเขา”
เสียงทุ้มแข็งกระด่างกล่าววาจาไตร่ถามทันทีที่ก้าวเท้าเขาห้องโถง
เจียงเฉิงได้ยินดังนั้นก็ยกมือไพล่หลัง 
“ยาน่ะ...มีฤทธิ์ทำให้หลับลึก”

ใบหน้าเรียบนิ่งสดับฟังคำตอบ
ก่อนจะสอบถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“ฤทธิ์ยาจะหมดเมื่อไหร่”
ประมุขถอนหายใจก่อนจะเอ่ยตอบตามตรง
“ใกล้รุ่งสาง”

สิ้นคำตอบความเงียบร่วงโรย
ถักทอแผ่ขยายราวกับผืนน้ำลึกให้ผู้ที่อยู่ในความมืดรู้สึกเหมือนจมน้ำ
ร่างเจ้าของบ้านละสายตาจากภายนอก พร้อมกับดวงตาเรียวคมเลิกหลุบมองผืน
ทั้งสองมองสบกันด้วยความรู้สึกปะปนยากเกินจะบรรยาย
คำพร่ำสอนให้ตัดกิเลส ทิ้งความละโมบ หันหลังให้ความโกรธแค้นทั้งมวล
ราวกับเสียงกระซิบของสายลมวูบหนึ่ง
ผ่านเข้ามา รับรู้ และหายไป
ไม่อาจชักนำใจของสองบุรุษให้หลุดพ้นจากวังวนนั้นได้

“ท่านจะพูดคุยเรื่องใดกัน”
ผู้บุรุกเอ่ยถามเสียงเรียบนิ่ง กระชากม่านหมอกแห่งความนึกคิดไร้เสียงให้ขาดวิ่นทลายลง
เจียงเฉิงเค้นยิ้มแสยะ ก่อนทิ้งตัวลงนั่งพรางผายมือสู่เก้าอี้กว่างตรงข้าม

หลานวั่งจีจ้องเพ่งดวงตาวาววับของนายเหนือแห่งบงกชเก้ากลีบ
แม้ใบหน้าจะแสร้งแย้มยิ้ม แต่ดวงตาแวววับ เด็ดขาด พร้อมฉีกกระชากผู้ขัดขืน ไม่ปิดบัง
ไม่อาจทำให้ใจผู้ที่บังอาจเสียมารยาทได้หวาดหวั่นข่มขวัญให้มีความกลัว
ร่างสูงทิ้งตัวลงนั่งอย่างสง่างาม
มองอสรพิษปราดยิ้มอย่างอาจหาญลองดี แม้อยู่ในถิ่นมัน!

“ดูท่านมีเรื่องสงสัย เหตุใดไม่กล่าวออกมาเล่า หานกวงจวิน”
คำถามเปิดเชิญชวนนั้น คนฟังจึงถือโอกาสได้ไตร่ถามสิ่งที่คิดไว้
“ท่านมีแผนการอันใดกันแน่”
“แผน? ท่านหมายความว่าอย่างไร?”
คิ้วเรียวของประมุขเจียงเลิกขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าแอบแสร้างแสดงท่าทีสงสัย

“ท่านเกลียดชังเว่ยอิง ท่านเคียดแค้นอี๋หลิงเหลาจู เหตุใดถึงอนุญาตให้เขาเข้าพักในเรือนได้ง่ายดาย”
“หึ... แล้วไม่ดีหรืออย่างไร”
“...”
“หรือท่านอยากให้ข้าตวัดแส้ บั่นคอเขาแล้วส่งเป็นของขวัญกลับกูซูเล่า”
“เจ้า!”
“นายท่านหลาน ข้าเพียงแค่เป็นเจ้าบ้านที่ดี เห็นนกกาบาดเจ็บร่อนลงอยู่หน้าบ้าน จะไม่ให้เปิดรับมอบเมตตาก็กระไรอยู่”
“...”

“ยิ่งเป็นวิหคที่เคยเลี้ยงดูแล้ว คงไม่มี[เจ้าของ]คนใดทำใจเพิกเฉยได้

ใช่หรือไม่...หานกวงจวิน...”







【บทที่ 2 - จบ】
โปรดติดตาม ตอนต่อไป



จะรีบไปไหนๆ ถ้าชอบและถูกใจ Fic เรื่องนี้ 
อย่าลืมส่งมอบคำติชม หรือให้กำลังใจ กับ Suky ได้ที่


『กล่อง Comment ด้านล่าง』
ไม่ต้องสมัคร/ลงทะเบียนให้วุ่นวาย พิมพ์ได้เลย! 

หรือ

หากท่านเล่นทวิตเตอร์ เมนชั่นคุยกันใต้ทวีตเรื่องนี้
คลิ๊กตัวอักษรสีฟ้าเลย

ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน Fic เรื่องนี้นะคะ อิอิ




ติดตามผลงาน Fic / นิยาย ของ Suky ได้ที่

============================
============================


  • มุมคุยกันกับคนเขียน [ ที่คันปากอยากเล่ายิบๆ ]


ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน Take me somewhere I can call [My Home] นะคะ 
เดิมทีวางแผนว่า 2 ตอนจบพอแหละ

แต่ไปๆมาๆ
เรากลับมาความสุขสนุกกับการ 'ขยี้เจียงเฉิง' ค่ะ (ฮา) /หลบแส้แม่ยกอาเฉิง

เลยขยับออกเป็น 3 ตอน


ว่ากันด้วยเรื่องปมของเจียงเฉิง กับเว่ยอิง

เรามองว่า... (ความคิดส่วนตัวล้วนๆนะ)
เรามองว่าเจียงเฉิงน่ะรักเว่ยอิงมาก
มากแค่ไหน..ถามใจคนที่ตบหน้าผากยอมทนอยู่กับพฤติกรรมไร้ยางอายของปรมาจารย์อี๋หลิงสิคะ
แต่คนซึน 3018 คงไม่ยอมบอก (ฮา)

เจียงเฉิงรักเว่ยอิงแบบไม่รู้ตัวเองค่ะ
และไอ้ความรักไม่รู้ตัวนี่แหละ มันทำให้ทุกสิ่งเลวร้ายไปใหญ่

ตอนเด็กก็โดนแม่จับเปรียบเทียบกับเว่ยอิง ประชดต่อหน้าพ่อบ่อยๆ
ทำอะไรก็ดีกว่า เพื่อนพ้องมิตรสหายเยอะแยะ
จดจำได้แต่เพียงความอิจฉา

พอโตมา เหตุการณ์ต่างๆมากมายพรั่งพรูกรูเขามาใส่เจียงเฉิง
มองกี่ทีๆ ก็มีเว่ยอิงอยู่ในวังวนเหตุการณ์พวกนั้น
ก็เลยจดจำได้เพียงความรู้สึกเคียดแค้น

ความแค้นความชิงชังก็ทับๆๆๆๆๆๆๆ ดันความรู้สึกรักให้จมก้นโคลนตม งมหาไม่เจอ

พอตอนเว่ยอิงกลับมาในร่างโม่เสวียนอวี๋
เรื่องทั้งหลายคลี่คลาย พอได้ทบทวนแล้วก็รู้ว่า..

เว่ยอิงไม่ได้เป็นคนผิด
เว่ยอิงไม่ได้เป็นตัวหายนะชักพาชีวิตเลวร้าย
มันมีหลายองค์ประกอบ
และเว่ยอิงก็พยายามช่วยคลี่คลายแทน

เอ้า คราวนี้มานั่งรู้สึกผิด
แต่ด้วยความเรื่องราวที่ทำให้มันกลายเป็นแบบนี้
มันกลายเป็นเปลือกนอกประจำตัวของเจียงเฉิงไปแล้วว่า [เกลียดเว่ยอิง]
ยิ่งเว่ยอิงอยู่กับวั่งจี เจียงเฉิงก็เป็นตัวตั้งตัวตีแอนตี้ไปแล้ว
เวลาไล่ก็ตะเพิดเป็นคู่ เอ็งไปจู๋จี๋กันที่อื่น

แล้วจะให้ไปบอกว่า ข้ารักเจ้านะ เว่ยอิง กลับมาอยู่ที่สกุลเจียงเถอะ
นอกจากพี่วั่งจะกระสวกดาบแทงแล้ว...
คำนินทาครหาอีกนับไม่ถ้วนที่จะกระทบกับบทบาทประมุขเจียงอีก
อย่างน้อยเวินหนิงผีน้อยน่ารักของเราแหละคนหนึ่งที่จะมาชี้หน้ากราดด่า กระซวกคำแซะ
(ก็น้องเห็นเหตุการณ์ที่เจียงเฉิงทำไม่ดีกะเว่ยอิงเยอะนี่เนอะ)

จึงก่อให้เกิด [มหากาพย์คนซึน]ค่ะ



รู้ว่ารัก รู้ว่าต้องการ รู้ว่าอยากได้เขา
แต่ทำอย่างไรเล่า...

นอกจากจะช่วงชิงมาครอบครองเยี่ยงคนเลวทราม




ความคิดเห็น

  1. ฮื่อออ เราชอบฟิคเรื่องนี้มากอ่านแล้วเจ็บแทนท่านประมุขเจียงเลยค่ะ
    เป็นคนซึนอะนะ เลยต้องได้แต่เก็บคำนั้นไว้ จริงแล้วเว่ยอิงกลับมาเพราะอยากเป็นครอบครัวแท้
    แงงงง สงสารทั้งคู่

    ตอบลบ
  2. แต่งดีมากเลยค่ะ ภาษางดงาม

    ตอบลบ
  3. ต่างคนต่างคิดว่าตัวเองผิดงื้อออน้องงคุยกันเร้วววปรับความเข้าใจกันไวๆนะ

    ตอบลบ
  4. จาล้อง ขอเหยียบเรือสองแคมได้มั้ยย

    ตอบลบ

แสดงความคิดเห็น