Fic 魔道祖师 Mo Dao Zu Shi : Take me somewhere I can call [My Home] 1/??

Title : Fic 魔道祖师 Mo Dao Zu Shi
Type : Dialouge Fiction

Topic : Take me somewhere I can call [My Home]

Chapter : 1/??

Pair : หลานวั่งจี x เว่ยอู๋เซี่ยน, เจียงเฉิง x เว่ยอุ๋เซี่ยน
Rate : PG 13+


คำเตือน 
  • Fic เรื่องมีความเกี่ยวข้องกับความรักระหว่างเพศเดียวกัน หากมีทัศคติที่รับไม่ได้กรุณากดออก
คำชี้แจง

  • Fic เรื่องนี้ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเนื้อหาหลักใดๆ ของปรมาจารย์ลัทธิจารย์ Mo Dao Zu Shi 魔道祖师 ที่อาจารย์ Mo Xiang Tong Xiu เจ้าของผลงาน เป็นเพียงเรื่องสมมติที่จินตนาการมาจากความคิดผู้แต่ง
  • ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน Fic เรื่องนี้กันนะคะ ถ้าชอบอย่าลืมช่วยกันคอมเม้นท์ โหวต แชร์ ถูกใจ หรือติดตามเป็นกำลังใจให้แก่คนเขียนนะคะ
  • หากมีผิดพลาดประการใด ไม่ถูกใจท่านผู้อ่าน ต้องกราบขออภัยล่วงหน้าค่ะ
  • รักนักอ่านทุกท่านคะ





============================
============================




Take me somewhere I can call [My Home]


บทที่ 1








“เว่ยอิง...”
เสียงขบเขี้ยว ดวงตาเรียวคมสั่นไหว
เรียกขานชื่อคนที่นอนข้างกายทุกราตรี
บัดนี้เหลือเพียงฟูกว่างเปล่าไร้คนใช้งาน

ใบหน้าคมเรียบนิ่งฉายแววตึงเครียดฉับพลัน
หลานวั่งจีเพ็งมองที่นอนข้างตัว
ยื่นมือสัมผัสร่องรอยที่เจ้ากาดำเคยทอดตัวนอน
ไม่หลงเหลือไออุ่นของคนคุ้นเคยอีกแล้ว
ก่อนน้ำเสียงเซื่องซึมเสียงหนึ่งจะผุดขึ้นมาในหัวของหลานวั่งจีแผ่วเบา

“หลานจ้าน ข้าอยากกลับอวิ๋นเมิง”

------------------------------

เช้าวันนี้ตระกูลเจียงเกิดเรื่องแปลก
มีแขกมานามว่า ‘เว่ยอู๋เซี่ยน’ มาหาประมุขเจียงแต่เช้าตรู่
แรกเริ่มเดิมทีเจ้าของจวนได้ยินชื่อพลันหงุดหงิดหน้าดู
ถือแส้ไปที่ประตู หวังขู่ให้อคันตุกะได้หวาดกลัว

พอออกไปถึงได้พบกับเว่ยอู๋เซี่ยนในร่างคุณชายโม่
เหงื่อโทรมกาย ร่างผอมโปร่งเปื้อนดินโคลนและเปียกปอนจากฝนน้ำค้างยามราตรี
แม้ใบหน้ามนจะปาดรอยยิ้มเริงร่า เฉกเช่นที่เจ้าตัวทำเป็นปกติ
แต่ประมุขเจียงเหมือนถูกฉุดหัวใจลงไปที่ตาตุ่ม เมื่อพบสภาพซวนเซของเว่ยอู๋เซี่ยน

“ข้าขอเข้าไปได้ไหม”น้ำเสียงสูงหวานติดแหบเค้นความแห้งเหือดในลำคอเอ่ยถาม
แต่คำตอบที่ได้จากเพื่อนเก่าในวันวาน คือการถูกคว้าแขนฉับพลัน
“ทำไมสภาพเจ้าเป็นเช่นนี้!?”
เพราะแรงกายไม่เท่าเทียมกันเหมือนในอดีต
คนถูกกระชากเซถลา ก่อนจะล้มอกพิงอีกฝ่าย
รู้ดีว่าตอนนี้ตนเองสกปรกจากการเดินทางเพียงใด
เว่ยอิงรีบขืนตัวออกห่าง ดันอกเจ้าของบ้านหวังหลุดพ้นจากพันธนาการ
แต่ทว่าคนยื้อไว้กับเพิ่มแรงบีบแน่นจนต้นแขนเจ็บแปล๊บ

“เจียงเฉิง ข้าเจ็บ”
เว่ยอู๋เซี่ยนในร่างคุณชายโม่เค้นเสียงก่อนจะทำหน้าเหยเก
ทว่าประมุขเจียงกลับไม่ปล่อยมือ
พลันถูลู่ถูกัง ลากแขนกาดำเปื้อนเปรอะฝุ่นโคลน
นำแขกไม่ได้รับเชิญเข้าจวนทันที

“ไปต้มน้ำอาบใส่ถังไว้ให้ข้า!”
เจียงเฉิงแผดเสียงสั่งบ่าวไพร่ ที่ชุลมุนงุนงงกับเหตุการณ์ให้แตกหือ
ส่วนเว่ยอิงถูกกระชากลากไปตามทางเดินจนถึงโถงรับแขก
มือแกร่งเติบโตตามกาลเวลาตวัดเหวี่ยงร่างโปร่ง จนถลาล้มตัวลงนั่งบนต่างไม้ตัวหนึ่ง
ประมุขเจียงกอดอก ตีหน้าถมึงถึงเหมือนพร้อมจะกินหัวคน

“นี่มันอะไรกัน”
“อ่า... ถ้าเจ้าหมายถึงสภาพข้าล่ะก็นะ... เอ่อ...จะเล่าอย่างไรดี พอดีข้าเดินทางตอนกลางคืนแล้วมันมืด ข้าเลย...หกล้มน่ะ”
คนเล่าความพร้อมกับหัวเราะแห้งๆ แต่ยิ่งทำให้คนฟังตีหน้ายักษ์มากขึ้น
“เจ้ามากับใคร”
“อ่า...ข้ามา...คนเดียว”
“อย่างไร!?”
“อ่า....”
“ข้าถามว่าเจ้าเดินทางจากอวิ๋นเซินปู้จื่อฉู่มาจวนข้าอย่างไร!”
“ข้า...เดินเท้ามา...น่ะ”
“เจ้าเดินเท้าตอนกลางคืนจากอวิ๋นเซินปู้จื่อฉู่มาถึงอวิ๋นเมิง...คนเดียวเนี่ยนะ!”

“เจียงเฉิง... คือ... ข้า...”
“มีสติบ้างไหมว่าเจ้าไม่ได้มีกายเนื้อเดิมอีกแล้วน่ะห๊ะ เว่ยอู๋เซี่ยน!!!”
เจียงเฉิงแผดเสียงใส่คนที่เคยตายแล้วครั้งหนึ่งลั่นห้อง
เว่ยอิงสะดุ้งตามเสียงที่คำรามด้วยความพิโรธอย่างตกใจสุดตัว

มือใหญ่ของประมุขเจียงกุมหน้าผากก่อนเอามืออีกข้างนวดขมับตัวเองเบาๆ
แม้ชะตาจะแยกห่างกัน
แม้ขมขื่นกับคืนวันที่ตระกูลล่มสลาย
แต่เว่ยอู๋เซี่ยนยอมสละตนเพื่อให้เขารอดตาย
อีกทั้งแก้แค้นตระกูลเวินมากมายให้มันหลาบจำ
ถือว่าเว่ยอิงได้ชดใช้จนหมดสิ้นแล้ว

ความผูกพันแก้ให้หายขาดได้ยากนัก
จึงต้องยอมรับว่าใจนั้นยังห่วงหา
เคยไถ่ถามเรื่องสุขทุกข์ของเว่ยอู๋เซี่ยนจากประมุขหลานอยู่บางครา
มีแต่ความเล่าว่าเว่ยอิงในร่างคุณชายโม่ป่วยไข้หนักเบาเป็นประจำ

ตอนแรกที่บ่าวไพร่นำความมาบอกว่าเว่ยอิงมาหา
คิดว่าเดินทางมาเที่ยวเล่นกับคุณชายรองตระกูลหลาน
เจียงเฉิงที่รำคาญ เหล่าคนมีคู่สุดออกหน้าออกตาไม่เกรงฟ้าดิน จึงอยากจะไล่ทิ้งให้พ้นจวนเสีย
แต่พอเปิดประตูบ้านเห็นหน้าตาเว่ยอู๋เซี่ยนในร่างคุณชายโม่
สะบักสะบอม แถมมองซ้ายขวาไร้เงาคนสกุลหลานติดตามคุ้มกัน
ใจประมุขเจียงรู้สึกวูบหายไปจากอกฉับพลัน

“แล้วนี่...เจ้าเสนอหน้ามาจวนข้าทำไม”
คำถามของเจ้าบ้านที่ดูไม่พร้อมต้อนรับตัวเขา ตั้งแต่ถือแส้ไปหาถึงหน้าประตู
ทำให้เว่ยอิงขบเม้มริมฝีปากเบาๆ
จะให้เขาเล่าอย่างไรดี
เว่ยอิงทะเลาะกับหลานวั่งจีเพราะอยากกลับมาอวิ๋นเมิง
แต่หลานจ้านเป็นหมาบ้าทุกครั้งที่พูดเรื่องนี้
เขาเลยหนีมาด้วยตัวเอง
“ข้า....”
“ทะเลาะกับหลานวั่งจีมาใช่หรือไม่”
“อ่า...ก็ไม่เชิง...คือข้า...”
“ใช่ล่ะสิ!”คนฟังไม่รอคำตอบพร้อมกระแทกเสียงยืนยันแทนเจ้าของเรื่องราว

ใบหน้ามนจึงก้มลงหลุบมองพื้น
หากบอกว่าข้ามีเรื่องทำให้อยากกลับอวิ๋นเมิง
เจียงเฉิงคงไล่ตะเพิดออกไปแน่
แต่ถ้าบอกว่าทะเลาะกับคนสกุลหลานอย่างหนักจนต้องหลบหนีออกมา
เจียงเฉิงคงเมตตาข้าหน่อยกระมัง
นี่ไม่ได้เป็นความเท็จ... เว่ยอิงทะเลาะกับหลานจ้านอยู่จริงๆ
เพียงแค่เป็นความจริงอยู่สองในห้าส่วนเท่านั้น

“ใช่ ข้าทะเลาะกับเขา” คนมีฉนักติดหลังเอ่ยอย่างยอมรับ
เจียงเฉิงได้ฟังดังนั้นก็เค้นยิ้มเย้ยหยัน
“เจ้าไปทำเรื่องอะไรให้เขาผิดใจล่ะสิ”

…เจ้าอยากกลับ แต่สกุลเจียงต้อนรับเจ้ารึ เว่ยอิง....
วาจาของหลานวั่งจีทำให้คนอยาก[กลับบ้าน]เหมือนโดนตบหน้า

รู้อยู่แล้วว่าเจียงเฉิงไม่ต้อนรับ
รู้อยู่แล้วว่าอี้หลิงเหลาจูไม่ควรคู่กับสกุลเจียง
รู้อยู่แล้วว่าไม่มีสิทธิ์เสียงในที่นี่อีกต่อไป
รู้อยู่แล้วว่าอย่างไรที่นี่มิใช่ [บ้าน] ของข้าอีกต่อแล้ว

แต่เพียงแค่อยากให้เห็นกับตาเท่านั้น
แค่อยากให้มั่นใจว่า [ฝันร้าย] มันจบลงแล้ว
ก็เท่านั้นเอง

ดวงตาคู่งามหลุบมองพื้น
สองมือเปรอะเปื้อนเศษดินโคลนจากการเดินทางข้ามถิ่นยามวิกาล กำหมัดแน่นเหนือตักที่อ่อนล้า
ขบเม้มปากอย่างอัดอั้นตันใจ

เจียงเฉิงมองกระต่ายสกุลหลานที่หลุดกรงมาแล้วถอนหายใจ
“ไปอาบน้ำเสีย สกปรกเลอะบ้านข้า”

สิ้นคำดวงตาคู่งามเงยสบใบหน้าเพื่อนเก่าที่เติบโตตามกาลเวลา
แตกต่างจากข้าที่อยู่ในร่างเด็กหนุ่มโม่เสวียนอวี่
“ข้า...อยู่ได้หรือ?”
เจียงเฉิงที่นวดขมับค่อยๆคลายมือออก
ประมุขเจียงพรูหายใจยาว
ก่อนจะจ้องใบหน้าไม่คุ้นเคยของเว่ยอิงในร่างคุณชายโม่ให้เสียเต็มตา

...เหลือกันอยู่เท่านี้...
...ข้ากับเจ้า...เราเหลือกันอยู่เท่านี้เอง เว่ยอิง...
...หลานข้า จินหลิงฝั่งตระกูลจินก็อุ้มชู...
...ข้ากับเจ้า...เราบาดหมางหยามเหยียดกันไปแล้วได้อะไร....
...ตอกย้ำความโดดเดี่ยวของตนเองหรือไรกัน...

แต่เหตุผลเหล่านั้นก็ถูกเก็บฝังไว้ในใจคุณชายเจียง
ก่อนเจ้าของเรือนจะสะบัดหน้าเชิดปรายตาหยามเยียด
“ข้าไม่ใช่เจ้าบ้านไม่ดี มีคนเวทนามาขอความช่วยเหลือ ไม่เหนือบ่ากว่าแรงข้าควรช่วย”
เว่ยอิงได้ยินดังนั้นจึงตระหนักถึงสารรูปตัวเอง

เจียงเฉิงหันตัวออกไปมองทิวทัศน์สวนนอกบ้านพรางเอามือไขว่หลัง
“อีกอย่าง...เจ้าไม่มีทางซุกหัวอยู่ที่นี่ได้เกินสามวัน”
“ข้ากล้าพนันเงินด้วยพันชั่งเลยว่า...ต้องมีใครสักคนในสกุลหลานมาเคาะประตูบ้านข้า เอาตัวเจ้ากลับแน่ๆ”

เจียงเฉิงเหยียดยิ้มแสยะบางๆก่อนผันมองร่างที่จ้องมาที่เขาไม่วางตา
“ใครต่อใครต่างรู้ดี...หลานวั่งจีไม่ปล่อยเจ้าให้ห่างกาย”
ใบหน้าเย็นชาและดวงตาเฉียบคมของเจ้าบ้านนั้นทำให้เว่ยอิงต้องรีบซ่อนแววตาไหววูบ

“รู้ตัวไว้ซะ เจ้าเป็นคนของสกุลหลานเต็มตัวแล้ว...เว่ยอู๋เซี่ยน”
...หาใช่คนสกุลเจียงอีกต่อไป...
...อย่ามาอยู่ร่วมโดดเดี่ยวกับข้าเลย...เว่ยอิง....
...ไปเคียงคู่เขาน่ะ...ดีแล้ว...

“หลงเก้อ”
หลังว่าความฝากให้จำจบ เจ้าบ้านจึงเรียกขานบ่าวคนสนิท
ไม่นานนักเด็กหนุ่มวัยสิบสี่ในชุดสำนักอวิ๋นเมิงก็ปรากฏกายด้วยท่าทีน้อบน้อม
“เรียกข้าหรือขอรับ นายท่านเจียง”
เจียงเฉิงสาวเท้าไปทางบ่าว ก่อนจะโฉบผ่านพรางสั่งความ
“พาคุณชายเว่ยไปอาบน้ำ หาเสื้อผ้าให้ผลัดเปลี่ยน เสร็จแล้วพาเขาไปรอข้าที่ท่าสระบัว ดูแลให้ดีอย่าให้มีเรื่องเอ็ดตะโรเด็ดขาด”
หมดคำสั่งเจ้านาย เด็กหนุ่มก้มหัวน้อมรับ

เว่ยอิงทอดมองเด็กหนุ่มที่หันมาแย้มยิ้มให้เขาอย่างสุภาพเป็นมิตร
จากไปนาน...จวนสกุลเจียงบูรณะใหม่ บ่าวไพร่ศิษย์ภายในต่างเปลี่ยนหน้า
ที่นี่ไม่ใช่[บ้านของข้า]อีกต่อไปแล้วสินะ

“เรียนเชิญ คุณชาย”
หลงเก้อกล่าวเสียงหนุ่มแล้วผายมือเรียนเชิญคุณชายสหายนายท่าน

เว่ยอิงประเมินท่าทางเด็กหนุ่มที่ดูไม่ก้าวก่ายในตัวเขาเล็กน้อย
แล้วยืนขึ้นเต็มความสูงเดินตามทางที่หลงเก้อหมายเชิญ

------------------------------

ร่างสะอาดสะอ้านผ่านการผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า ชะล้างคราบไคล้ของคุณชายโม่หยุดสองเท้ายืนข้างสระบัว
มันเป็นสิ่งเดียวที่เหลือรอดจากการล่มสลายของตระกูลเจียง
นัยน์ตาของเว่ยอิงแปลงเปลี่ยนจากขมุกขมัวด้วยหมอกไอความคิด 
ผุดแววเปรมปรีดิ์น้อยนิดขึ้นในดวงตา หลังจากได้เห็นสิ่งคงเดิมของจวนสกุลเจียง

“เรียนคุณชายเว่ย หลงเก้อจะไปสั่งจัดโต๊ะอาหาร คุณชายโปรดพักผ่อนรออยู่ที่นี่ก่อน”
หลงเก้อผู้ดูแลจำเป็นเอ่ยความ เว่ยอิงเพียงพยักหน้ารับก่อนร่างเด็กหนุ่มจะจากไป

ใบหน้ามนยังคงนิ่งเรียบ
พยายามคลายสีหน้าเครียดครึมเป็นผ่อนคลาย
อดีตศิษย์เอกอวิ๋นเมิงนั่งหย่อนขาตีน้ำในสระกว้างเชื่องช้าและแผ่วเบา
ใบหลิวแผ่ปรกเงาให้ทอดตก หลบแดดยามเกือบเที่งวัน
พร้อมเงี่ยฟังกระดิ่งลมทองเหลืองส่งเสียงสูงกังวาน

นานแล้วที่ไม่ได้เหยียบอวิ๋นเมิง
นานแล้วที่หนีเตลิดเปิดเปิงไม่ได้กลับมา
นานแล้วที่ไปพึ่งพาใครต่อใครไปตามสถานการณ์
นานแล้ว... แสนเนิ่นนานที่ไม่ได้กลับมา [บ้านเก่า] ของตน

เปลือกตาสีงาช้าเบิกขึ้น
กวาดมองอวิ๋นเมิงให้เต็มตา
จากที่ราบเป็นหน้ากองถูกฟื้นฟูกลับคืนมา
ท่านอา... ท่านควรภาคภูมิในตัวลูกชาย

ผิดกับตัวข้าที่อกตัญญูนัก
ทอดทิ้งพี่น้องที่เคยร่วมเป็นตาย
หันหลังแก่คุณธรรมทั้งมวลนำตัวเองไปสู่ความตาย
หมายเพียงแค่แก้แค้นแทนตระกูลเจียง
ข้าทำได้เพียง....เท่านี้เอง

“เอาเท้าลงไปแกว่งในสระบ้านคนอื่นเขา เจ้ารับอนุญาติรึยัง”
เสียงทุ้มดุจากข้างหลังทำให้เว่ยอิงรีบชักเท้าขึ้นจากน้ำ
ปรายตามองคนที่ชอบสวมบทบาทเป็นอวี๋ฟูเหรินแสนสง่างาม
...แต่เนื้อแท้มิใช่

“เจ้าเอาความใจดีอ่อนโยนเหมือนท่านอาเฟิงเหมียน ไปเก็บไว้ซอกไหนกันนะ”
คนที่ถือดีแกว่งเท้าในสระบ้านคนอื่นทำปากบู้บี้
พึมพำเสียงเล็กเสียงน้อย
เจ้าของจวนคนปัจจุบันชักสีหน้าขึ้นทันใด ก่อนกล่าวเสียงขึ้นจมูก
“ฮึ...ใจดีอ่อนโยนรึ”

เจียงเฉิงปรายตาคมดุมองร่ายคุณชายโม่ที่กอดเข่าทำหน้าเง้างอดไม่เจียมตน
ก่อนเสียงเข้มจะตวาดก้องกระชากให้ทุกสรรพสิ่งแถวสระบัวต้องสะดุ้งพลัน!

“ข้าเปิดประตูให้เจ้าเข้าจวนนับว่ายื่นไมตรีให้เท่าไหร่! สำเหนียกตัวไว้เสียว่าข้าคือประมุขสกุลเจียง!”
เสียงพิโรธตะวาดลั่น
นกกาแถวนั้นบินกรูขึ้นฟ้าทันใด
แต่ทว่า... คนที่ควรตื่นตะลึงผงะกลัวที่สุดกลับตวัดปลายผมเล่น
พรางเชยตามองอย่างล้อเลียน
“ขอรับๆ ข้าน้อยจิตใจวิปริตวิปลาส มิอาจรู้จำเบื้องต่ำสูง ขออภัยท่านประมุขเจียงเป็นอย่างยิ่ง”

เจียงเฉิงเห็นดังนั้นก็หมายว่าจะเข้าไปคว้าคอชกสักหมัด
แต่ทว่ามือกับชะงักด้วยความคิดหนึ่งที่แล่นเข้ามาในหัว
...มีกันอยู่แค่นี้...

เสียงกระดิ่งลมเปล่งเสียง
เว่ยอิงมองมือที่ชะงักค้างกลางอากาศ
ดวงตาคู่งามราบเรียบไม่ไหวติ่ง
เผื่อใจไว้แล้วว่าอาจมีต่อยตี
และตนคิดไว้แล้วว่าจะปล่อยให้ถูกตบตีไม่เอาความ

“คิดว่าคำยั่วยุเพียงเท่านั้นจะทำให้ข้าสติหลุดได้หรือ...”
ประมุขเจียงขบเขี้ยวกล่าว
ใบหน้าบิดเบี้ยวไปด้วยความโกรธขัดกับประโยคที่เอ่ยพูด
มือใหญ่ที่เติบโตตามกาลเวลา
เปลี่ยนจากเด็กหนุ่มให้กลายเป็นบุรุษสมชายชาตรี
ลดทิ้งข้างตัวแต่ไม่ยอมคลายหมัดแน่น
 “ข้ากับเจ้า...ไม่ใช่เด็กอีกต่อไปแล้ว”

เว่ยอิงทอดมองสระบัวอีกครั้ง
ไม่ใช่เด็ก... แล้วอย่างไรเล่า
ไม่ใช่เด็ก... แล้วข้ากับเจ้าจะซื่อสัตย์ต่อใจไม่ได้เลยหรือ
เว่ยอู๋เซี่ยนและเจียงเฉิงมิอาจเป็นมิตรไมตรีเช่นกาลก่อนอีกแล้ว...ใช่หรือไม่

เจียงเฉิงสะบัดตัวหันหน้าหนี
ถอนหายใจออกอย่างสงบอารมณ์
ก่อนเหลือบมองร่างใต้กระดิ่งลม
ประมุขเจียงจึงเปล่งเรียกคนที่ยังคงนั่งกอดเขาทอดมองสระบัวสวยงาม
“ลุกขึ้นเช็ดเท้าเสีย โต๊ะอาหารพร้อมแล้ว อย่างให้เจ้าบ้านอย่างข้าโดนครหาไม่ดูแลแขก”

เว่ยอิงใช้ชายผ้าเช็ดเท้าก่อนคว้ารองเท้าที่ถอดทิ้งข้างตัวมาสวมใส่
ร่างโปร่งทำท่าจะลุกขึ้นยืน
ทันใดนั้นดวงตาโตคมจึงได้พบเห็นฝ่ามือของเจ้าบ้านที่ยื่นมาหาเขา

แม้เจียงเฉิงจะผินหน้าไปทางอื่นไม่สบมองรอยยิ้มจางๆของเว่ยอู๋เซี่ยนที่ผุดพราย
มือของนายน้อยเจียงและศิษย์เอกอวิ๋นเมิงในวันวานก็สัมผัสกัน
แม้ไม่มีเสียงสนทนาเจื้อยแจ้วโหวกเหวกดั่งเมื่อก่อน
แต่ภาพของเก่าของสองเพื่อนสนิทแห่งสกุลเจียง
ได้กลับมาซ่อนทับประมุขเจียงและคุณชายโม่ที่เดินเคียงคู่กัน

------------------------------

แม้แต่ก่อนสกุลเจียงจะแยกโต๊ะสำรับของใครของมัน
เหตุเพราะสมาชิกในสกุลมีจำนวนมาก 
จัดสำรับเดียวทานรวมกันอาจทำของบางอย่างที่นิยมทานกัน แบ่งปันไม่พอ

และอาจเพราะสกุลเจียงตอนนี้ ประมุขเจียงครองโสด
โดยส่วนมากน่าจะออกไปทานข้างนอก
ถ้ากินร่วมสำรับคงมีแค่ครั้งคราวที่ คุณชายจินกลับมาเยี่ยมจวนสกุลเจียง
เช่นนั้นแล้วห้องทานอาหารจึงได้มีโต๊ะกลมขาสูงตั้งคู่กับเก้าอี้สองตัวปรากฎอยู่
เป็นโต๊ะไม้สำหรับทานอาหารสลักลายกิเลนเข้าชุดกัน
มันถูกจัดวางไว้มุมหนึ่งข้างหน้าต่าง มีฉากกั้นแยกเป็นสัดส่วน

เว่ยอิงมองโต๊ะอาหารตัวนั้นพรั่งพร้อมด้วยของคาวหวาน
ปริมาณขัดกับจำนวนผู้ทานที่มีเพียงแค่สอง
เมื่อคนที่เดินทางไกลมาพิจารณามอง
เหล่าอาหารช่างเพรียบพร้อมไปด้วยของที่ตนเองโปรดปราน

“เจียงเฉิง... นี่เจ้า...”
“หึ... ข้าเป็นเจ้าบ้านที่ดีหรอก”
เจียงเฉิงตัดบทพรางเดินไปทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้ด้านหนึ่ง
แล้วเปล่งเสียงกล่าววาจาเชิญทานที่ฟังแล้วระคายหู
“มากินซะ อย่าให้อาหารบ้านข้าเสียทิ้ง”

แขกร่วมโต๊ะพยักหน้าไม่พูดอะไร
ก่อนจะสาวเท้าไปทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้ตรงข้ามอันวางเว้น
เจียงเฉิงลอบมองร่างโปร่งที่ยอมนั่งร่วมโต๊ะแต่โดยดี
แล้วยื่นตะเกียบคีบเนื้อปลาเข้าปากของตน

ส่วนเว่ยอิงขยับสองมือเรียวให้พ้นชายผ้าอาภรณ์สีขลิบม่วงประจำสำนักอวิ๋นเมิง
หยิบตะเกียบและชามข้าว
และทั้งสองก็เริ่มมื้ออาหารอันเงียบงัน

การทานอาหารไม่มีเสียงพูดคุยสักคำ
ถึงกระนั้นก็ไร้บรรยากาศกดดัน อัดอั้น อึดอัดใดๆเข้าปกคลุม
กับข้าวกับปลาบนโต๊ะแต่ละอย่างพร่องลงไปเรื่อยๆอย่างช้าๆ
เวลาผ่านไปดวงตาเรียวคมปรายมองผู้ทานอาหารร่วมโต๊ะอย่างพิจารณา

ร่างคุณชายโม่เป็นชายหนุ่มน่าจะราวเบญจเพส (ยี่สิบห้า)
แม้ไม่ผึงผายเหมือนผู้ชาย แต่ไม่เข้าข่ายอ้อนแอ้นเหมือนผู้หญิง
ผมดำเข้มรวบมัดครึ่งหัว...นอกนั้นปล่อยสยาย
ดูเหยียดตรงมากว่ากว่าเส้นผมร่างเว๋ยอู๋เซี่ยน
ใบหน้าหมดจดและติดหวานกว่าเล็กน้อย
คอระหงส์ ข้อมือเล็กกว่าผู้ชายวัยนี้ควรจะมี กล้ามเนื้อขึ้นนูนพองาม เอวเล็กขอดไปหน่อย
โดยรวมแล้วจะว่าผ่ายผอมก็มิใช่ สมส่วนก็ไม่เชิง

ผิวขาวกว่าเว่ยอิงในร่างก่อนที่ออกแดดฝึกยุทธ์
แต่ทว่าเรียบนวลหมดจด ผิวพรรณดีเหมือนกัน
อาจเป็นเพราะคุณชายโม่มีเชื้อสายทางบิดามาจากสกุลจินที่ค่อนข้างร่ำรวยรูปทรัพย์เสียส่วนใหญ่
อีกทั้งข่าวว่าแม่ของคุณชายโม่ก็งดงามจนทำให้แต่งงานตอนอายุยังน้อย
จึงไม่แปลกที่จะกล้าสรุปว่าร่างคุณชายโม่ดูงดงามกว่าชายอื่นโดยทั่วไปเพราะบรรพบุรุษ

แต่ถ้าให้มองผาด...เจียงเฉิงรู้สึกไม่ต่างจากเว่ยอู๋เซี่ยนร่างเดิมสักเท่าไหร่
ถึงกระนั้นไอ้ที่ขัดใจที่สุดคงเป็นท่าทางเรียบนิ่งเซื่องซึมนี่แหละ
จะว่าเพราะจิตวิญญาณในกายคุณชายโม่ คือเว่ยอิงวัยสามสิบ
ผ่านร้อนหนาวไม่ใช่เด็ก เหมือนที่เขาที่ประพฤติตัวสมผู้ใหญ่กว่าแต่ก่อน
ก็อาจจะใช้...
แต่กาลเวลาไม่น่าจะมีผลมากมายถึงขนาดเปลี่ยนสันดานนิสัยปกติของคนได้หมดจด
เว่ยอิงที่เจียงเฉิงจดจำได้...จะปากมาก ร่าเริง ช่างพูด ช่างพิเรนทร์
ไม่สนใจความเป็นไปว่าใครโกรธแค้น ชิงชัง รังเกียจ เห็นดี ชื่นชมอยู่หรือเปล่า

น่าแปลกนักที่นั่งทานข้าวร่วมโต๊ะกันไม่เอ่ยปากเย้าแหย่สักคำ
ทำหน้านิ่งทานอาหารเรียบร้อย หยิบ จับ ตัก กินชิ้นพอคำ ไม่โขมงโฉงเฉง
หลังเคร่งตรง ไหล่ไม่ห่อ ยามคีบตักอาหารไกลตัวรวบแขนเสื้อทุกครั้ง
แม้จานโปรดอยู่ไกลเกินเอื้อมก็ไม่คะเย้อหยิบ กินอาหารสามสี่จานรอบตัวที่เอื้อมถึง

แต่ทว่า...คิดกลับแล้วเว่ยอู๋เซี่ยนไม่ได้มีมารยาททรามขนาดนั้น
ท่านแม่อบรมเว่ยอิงที่เป็นศิษย์เอกหนักที่สุด ทั้งยุทธ์ ทั้งความรู้ และมารยาท
แต่เจ้านี่จะทำตัวดีสมสง่าก็ต่อหน้าท่านพ่อท่านแม่เท่านั้นแหละ
อยู่กับเขา นอกสายตาผู้ใหญ่ หรือไม่มีเหตุจำเป็นต้องกระทำ
เว่ยอิงจะเผยท่าทีธรรมชาติของตนเสียส่วนใหญ่

แต่กระนั้นสิ่งที่เว่ยอิงในร่างโม่เสวียนอวี่กระทำอยู่นี้....
อย่างกับคุณหนูผู้สูงศักดิ์ที่ถูกกักขังในเรือนมาตลอดก็ไม่ปาน
มีมารยาทมากเกินไปจนน่าแปลก

...สงสัยกูซูหลานดัดสันดานมาดี...

ดวงตาของประมุขขยับมองละจากท่าทีของแขกร่วมโต๊ะ
แสร้งทำเป็นยกถ้วยน้ำแกงร้อนขึ้นดื่ม
แล้วแอบตวัดตามองใบหน้าคุณชายโม่อย่างถี่ถ้วน

เค้าโครงหน้าตาไม่ต่างกับร่างเดิม
คิ้วเรียวรับตาโตคมที่ดูเหมือนจะเบิกโตกว่าร่างเก่าเล็กน้อย
ขนตาไม่หนาไม่บาง ขึ้นเป็นแพสวย
จมูกที่ขึ้นสันอมสีส้มเล็กๆ ปากไร้การเติมแต่งนั้นออกสีกลีบดอกบัวชมพู
ทั้งหมดรับกับใบหน้ามนได้รูปขาวผ่อง
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าหากเป็นหญิง...นี่คือแม่นางในฝันของประมุขเจียง

“เจ้ามองอะไรข้านักหนา เจียงเฉิง!”
คนถูกมองแสร้งทำเป็นไม่สนใจ จนกระทั่งถึงขีดสุดกล่าวขึ้น
เจียงเฉิงเงี่ยฟังน้ำเสียงสูงกว่าบุรุษเล็กน้อยแต่ติดแหบ กล่าวกระแทกกระทั้นไม่พอใจ
ใบหน้ามนที่เรียบนิ่งเมื่อครู่ ขยับหัวคิ้วจนขมวดมุ้น
คนแสร้งดื่มน้ำแกงรีบผละถ้วยออกจากปากพรางกระแอ่มเบาๆ
แล้วหันหน้าออกหน้าต่าง ทำท่าชมนกชมไม้ไม่สบตาคนนั่งตรงข้าม
“ข้าเพียงแค่ไม่คุ้นชินเว่ยอู๋เซี่ยนในร่างคุณชายโม่ก็เท่านั้น”

“อย่าบอกนะว่าเจ้าทานอาหารร่วมโต๊ะกับสตรี แล้วชอบลอบมองนางอย่างนี้น่ะ”
คนถูกกล่าวหาหันหน้ามองสบใบหน้านิ่งเรียบของเว่ยอิงฉับพลัน
“ระวังปากหน่อย! เว่ยอู๋เซี่ยน ข้าไม่ได้ไร้ความสุภาพบุรุษขนาดนั้น”
เจียงเฉิงกล่าวกระชากเสียงเขียวก่อนยกถ้วยน้ำชาขึ้นกระดก

เว่ยอิงมองคนที่โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงอย่างเหนื่อยหน่าย
เขามีเรื่องมากมายให้คิดไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับใครทั้งนั้น
แต่จะให้อดสอดปากคงจะไม่ได้
“นิสัยอย่างนี้น่ะสิ...สตรีถึงไม่เอา”

สิ้นคำพึมพำ คนที่โดนจี้ใจดำที่จุดตายเกือบพ่นน้ำออกจากปาก
เจียงเฉิงกลืนชาอึกใหญ่ลงคอได้จึงเค้นเสียงหึในลำคอ
แล้วเริ่มวาจาส่อเสียด
“มีสามีแล้วเจ้าดูหวงเนื้อหวงตัวขึ้นนะ”
คนฟังรู้สึกรำคาญจึง ไม่ได้สาวความต่อ ยอมรับแต่โดยดี
“คงเพราะเยี่ยงนั้น”

เจ้าของจวนไปต่อไม่เป็น จ้องมองหน้าคนยอมรับแต่โดยดี
เว่ยอิงหลุบตาต่ำจดจ่อกับการแยกเนื้อปลาออกจากก้างอย่างไม่สนใจ
ตีใบหน้าเรียบนิ่งต่อไป ทิ้งให้ประมุขเจียงคิ้วขมวดกับพฤติกรรมที่แปลกประหลาด

...แปลก...
...ยั้วโมโหขนาดนี้กลับไม่โวยวาย...

“แล้ว...เจ้าจะอยู่ที่นี่จนถึงเมื่อไหร่”
ประมุขเจียงทำตัวขึงขังอีกครั้งพรางเปลี่ยนเรื่อง
คีบเนื้อเป็ดใส่ปากก่อนตามด้วยข้าว ทำเป็นสนใจการทานอาหารเช่นกัน
“คงตามที่ประมุขเจียงกล่าว...จนกว่าจะมีคนมารับ”

“ถ้าไม่มีผู้ใดมาเล่า”เจียงเฉิงกล่าววาจาโยนฝืนเข้ากองไฟหน้าตาย
แต่คำตอบที่ได้ก็ลูกล้อลูกชนพอกัน
“ข้าคงได้เงินพันชั่งจากประมุขเจียงไปตั้งตัว”

เจ้าของบ้านได้ยินดังนั้นจึงถอดทอนหายใจไร้เสียง
แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนอย่างยอมแพ้
“นี่เจ้ากับหานกวงจวินทะเลาะกันเรื่องอันใด รุนแรงมากเลยหรือ”

เว่ยอิงในร่างคุณชายโม่ได้ยินคำถามของประมุขเจียง ส่งผลให้ฝ่ามือถือตะเกียบชะงักข้าง

...รุนแรง...หรือ?...

“ขอร้องล่ะ หลานจ้านข้าอยากกลับอวิ๋นเมิงสักครั้ง”
“เว่ยอิง...ถ้าเจ้ากล่าวเรื่องนี้ให้ข้าได้ยินอีกครั้ง เจ้าจะไม่ได้ออกจากห้องนี้อีก...ตลอดกาล”
น้ำเสียงเรียบนิ่งเฉียบขาดกล่าวจบลงพร้อมประตูถูกกระชากปิดดังปังใส่หน้าคนถูกขังไว้ในห้อง
เขตอาคมภายนอกทำให้เขาไม่สามารถเรียกมารภูตผีรับใช้ได้
อีกทั้งยันต์พันธนาการทำให้ประตูหน้าต่างทางหลบหนีเข้าออกปิดตาย
เว่ยอู่เซี่ยนเป็นนักโทษต้องขังโดยสมบูรณ์

“ขอโทษนะ...ข้าอิ่มแล้ว”
ตะเกียบสลักลายดอกท้อสวยงามถูกวางเทินบนปากชามข้าวกระเบื้องลายครามเขียว
หลังจากนั้นเสียงเก้าอี้ครูดพื้นจึงดังขึ้น พร้อมกับร่างของคุณชายโม่เตรียมเดินจากไป
เจียงเฉิงมองข้าวในชามที่พร่องไปครึ่งเดียว

“เว่ย...”
“ท่านประมุขเจียง... พอจะเมตตามอบที่นอนสักที่ในจวนนี้ให้ข้าล้มตัวลงนอนได้หรือไม่ ข้าเดินทางข้ามคืน รู้สึกเหนื่อยล้านัก”
ดวงตาหลุบต่ำ น้ำเสียงเย็นชา วาจาของเว่ยอิงทำให้เจียงเฉิงรู้สึกถึงการกีดกัน
และรู้สึกปฏิเสธไม่ได้...

“อึ...อืม...”

------------------------------

อาชากำยำห้อตะกายวิ่งพัดผ่านผืนป่า
เสียงลมหายใจของมันเหนื่อยหอบและพลั่งพร้อมไปด้วยกำลัง
วิ่งทะยานบีบอัดกีบเท้าบดหินและเศษดินให้แหลกเป็นผุย
แผงคอและพู่หางของมัน ลู่ลมปลิวสะบัด
แต่กระนั้นคงไม่เร็วพอเท่าจิตใจของหลานวั่งจี

...เว่ยอิง...

บังเหียนสะบัดกระทบอีกครั้ง
อาชาหนุ่มแทบคลั่งเพิ่มพลังวิ่งทะยาน
แส้แหวกอากาศฟาดลงอย่างไม่สงสาร
ลืมสิ้นกฎห้ามทรมาณ โปรดสัตว์แห่งกูซู

------------------------------

ดวงไฟดวงหนึ่งทอสว่าง
ท่ามกลางสายฝนที่เริ่มกางม่านอำพรางทัศนียภาพอวิ๋นเมิง
อโณทัยสุดท้ายลับหายไปหนึ่งเค่อแล้ว
ความมืดมิดคลืบคลานอย่างแท้จริง

หลงเก้อเด็กหนุ่มศิษย์อวิ๋นเมิงพิงกายแนบกับบานประตูสำนัก
มองม่านฝนพรำในพลบค่ำร่วงหล่น
บางเม็ดพร่างพราวหลังจากต้องแสงโคมไฟ
ก่อนไหลรินสู่ผืนพสุธาชุ่มเปียก เละเลนเป็นดินโคลน

คำสั่งของนายท่านอวิ๋นเมิงได้บัญชา
ให้จับตารอคอยการมา ของคนจากกูซูหลาน
หากมาถึงหน้าบ้าน จงนำทางไปหานายท่านโดยเร็ว
และดูเหมือนว่าหน้าที่ของหลงเก้อกำลังจะจบลงแล้ว

ภาพเลือนลางท่ามกลางความมืดมิด
ผู้หนึ่งบังคับอาชาทะยานวิ่งฝ่าผืนพสุธาและสายฝน
เนื้อผ้าสีขาวสะบัดพลิ้ว แม้เปียกปอนก็ลู่ลม
สมกับเสียงสะท้านก้องของกีบเท้าม้าขยี้ผืนดินอย่างรุนแรง

ม้าหนุ่มสีน้ำตาลกล้ามเนื้อเป็นมัดถูกกระชากบังเหียนกะทันหัน
มันหยุดฝีเท้าพลัน จากเร็วรี่เป็นตะกุยอากาศ พร้อมร้องคำรามสนั่นลั่นหู
โดยไม่สนใจว่าเด็กหนุ่มในชุดศิษย์สกุลเจียงจะเดินถอยหลบอาชาชาญทัน
หรือยืนอยู่ตรงนั้นให้ม้าเหยียบตาย

ร่างในอาภรณ์สีขาวเปียกลู่พร่างพราวไปด้วยหยาดฝนสะบัดเท้ากระโจนลงจากหลังม้าด้วยความเร่งรีบ
หลงเก้อมองใบหน้าดุจพยัฆค์ร้ายอย่างตื่นตระหนก
ยังไม่ทันได้ประสานมือคำนับ
คนที่ทำท่าเหมือนม้าเร็วถือสารเรียกทัพด่วน ตัดบทเอ่นกระชากบอกความต้องการไม่รีรอ
“ข้าหลานวั่งจีแห่งกูซู! มารับตัวเว่ยอู๋เซี่ยนกลับ!”

...เจรจาให้ดีล่ะ คนสกุลหลานเวลาโกรธมักกลายเป็นหมาบ้า...
เสียงแว่วของนายท่านทำให้เด็กหนุ่มยิ้มแหยเล็กๆกับคำเตือนนั้น
เช่นนั้นคนตรงหน้าข้าคงไม่ใช่แขกสกุลหลานแล้วกระมั้ง
คงเป็นคุณชายสกุลอื่น เพราะท่าไม่เหมือนหมาบ้าเลยสักนิด
มีเขี้ยวงอกอีกนิดนี่เทพอสุรามาเองเลยล่ะ

“เรียนนายท่านหลาน ประมุขเจียงได้กล่าวว่า หากท่านมา ให้นำท่านไปพบท่านประมุขก่อนขอรับ”
“เว่ยอู๋เซี่ยนอยู่ที่ไหน?!”คนที่บึ่งม้ามากจากกูซูแผดความเกรี้ยวกราด ดวงตาวาววับราวกับพร้อมขย้ำคนที่ขวางทางให้พ้นหูพ้นตา
“นายท่านหลานโปรดใจเย็น คุณชายเว่ยกล่าวว่าเหนื่อยล้าจากการเดินทาง บัดนี้พักผ่อนเข้านอนไปแล้ว รบกวนท่านเข้าพบท่านประมุขกับข้าก่อนเทิด”

หลานวั่งจีใบหน้าเฉยชา แววตาเย็นเฉียบมองเด็กหนุ่มขวางหูขวางตาตรงหน้าอย่างอดกลั้น
ทันใดนั้นร่างสูงก็ผ่านวูบ ฉากตัวหลงเก้อไปอย่างรวดเร็ว
เด็กหนุ่มผู้ถูกสั่งให้ทำหน้ารับแขกไม่อาจไหวตัวรั้งทัน
ฉับพลันจึงได้ยินเสียงดังสนั่นก้องกัมปนาท
หันหลังกลับพบว่าบานประตูสำนักโดนผ่าด้วยกระบี่ในมืออาคันตุกะแซ่หลาน
ทลายลงเป็นเศษไม้และผุยผงในพริบตา







【บทที่ 1 - จบ】
โปรดติดตาม ตอนต่อไป



จะรีบไปไหนๆ ถ้าชอบและถูกใจ Fic เรื่องนี้ 
อย่าลืมส่งมอบคำติชม หรือให้กำลังใจ กับ Suky ได้ที่


『กล่อง Comment ด้านล่าง』
ไม่ต้องสมัคร/ลงทะเบียนให้วุ่นวาย พิมพ์ได้เลย! 

หรือ

หากท่านเล่นทวิตเตอร์ เมนชั่นคุยกันใต้ทวีตเรื่องนี้
คลิ๊กตัวอักษรสีฟ้าเลย

ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน Fic เรื่องนี้นะคะ อิอิ




ติดตามผลงาน Fic / นิยาย ของ Suky ได้ที่

============================
============================





ความคิดเห็น

  1. พี่หวังเกรี่ยงกราดแท้

    ตอบลบ
  2. รอตอนต่อไปน้าาา ฟินเฟร่อ

    ตอบลบ
  3. มีความสุขล้นเหลือ หากจะเอ่ยเเค่คำว่าฟินคงน้อยไป

    ขอขอบคุณที่สื่อถึงอารมณ์ของคำพูดเเละความรู้สึกของตัวละครได้สวยงามลงตัวยิ่งนัก

    ตอบลบ
  4. รอตอนต่อไปน้าชอบมากๆแต่งได้ดีจนนอนติกหมอนขาดเลย

    ตอบลบ
  5. มาต่อด้วยน้าชอบมาก

    ตอบลบ
  6. ไม่ระบุชื่อ11 สิงหาคม 2562 เวลา 20:32

    เกรี้ยวกราดรุนแรงง

    ตอบลบ
  7. น้ำตาซึมเลยชอบมากรอติดตามนะคะ

    ตอบลบ
  8. ส..สามพีได้ไหม? ถ้าให้เลือกใครสักคน หัวใจฉันบอบช้ำ T^T

    ตอบลบ
  9. ชอบสำนวนการเขียนมากค่ะเหมือนได้อ่านนิยายของนักเขียนผู้โด่งดังแนวหน้าเลยติดตามนะคะ

    ตอบลบ
  10. อยากอ่านตอนต่อไปแล้ว

    ตอบลบ
  11. รออ่านต่อนะคะ อ่านแล้วรู้สึกหน่วงมาก เหมือนเว่ยอิงเหน็ดเหนื่อยกับชีวิตมากเลย ความสดใสหายไปหมด

    ตอบลบ
  12. พี่วั่งคนนี้ดุจริงทิ้งมาดนิ่งไปเลย555

    ตอบลบ
  13. กรี๊ดดดดด ชอบภาษามากกก อยากร้องไห้ แก้ขียนเรื่องยาวไปเลยดีมั้ย ต่อให้มี100ชั้นก็อ่านได้นะ ไม่เบื่อเลย

    ตอบลบ

แสดงความคิดเห็น